“หนังสารคดี” ถ้าให้พูดกันแบบเข้าใจง่ายๆเลยก็คือ ตัวสื่อที่มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง ตัวละครจริงที่นำมาทำเป็นภาพยนตร์ เชื่อว่าใครหลายๆคนเคยดู “หนังสารคดี” มาไม่มากก็น้อย ยิ่งทุกวันนี้คนเรามีตัวเลือกในการดูสารคดีมากมายหลายหลากจากหลายประเทศทั่วโลกที่ตอนนี้กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า
คุณภาพหลายๆเรื่องทัดเทียมกับภาพยนตร์ไปแล้ว บางเรื่องนั้นระดับของโปรดักชั่นดีมาก แต่แน่นอนว่าใช่ว่าสารคดีที่ดีนั้นจะมาจากฝั่งของต่างประเทศอย่างเดียว ฝั่งของประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าเช่นเดียวกัน เพราะมีสารคดีดีๆระดับคุณภาพคับแก้วมาให้รับชมด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งมีหลายเรื่องเคยฉายในโรงภาพยนตร์มาแล้ว ซึ่ง 5 เรื่องนี้จะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลย
2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว : 2,215
ไปกันที่เรื่องแรกของสารคดีไทยที่อยากจะแนะนำกันก็คือ 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว ที่เปิดเผยถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์อันน่าจดจำของผู้ชายที่ชื่อ “อาทิวราห์ คงมาลัย” หรือ “ตูน บอดี้แสลม” นักร้องชื่อดังขวัญใจชาวไทยกับวิ่งทางไกล 2,215 กิโลเมตร ท่ามกลางดารา นักร้องที่เห็นถึงความตั้งใจมาร่วมวิ่งกันอย่างคับคั่ง และประชาชนที่รอถ่ายรูป มาให้กำลังใจ และที่สำคัญที่สุดมาช่วยกันบริจาคเงินกันคนละไม้คนละมือจนมีเงินจำนวนมากที่นำไปให้กับทางโรงพยาบาล ซึ่งระยะทางนั้นก็คือเริ่มต้นจากเบตงไปยังแม่สายนั่นเอง
หนังสารคดีเรื่องนี้ในตอนแรกมีความยาวมากกว่า 200 ชั่วโมง แต่ทีมงานได้ตัดให้กระชับที่สุดจนเหลือเพียงแค่ 90 นาทีเท่านั้น ผู้ชมจะได้เห็นถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นของผู้ชายคนนี้ ไปตลอดทั้งเรื่อง จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายต่อหลายคนเลยทีเดียว
แร็ปทะลุฝ้า ราชาไม่หยุดฝัน : School Town King
เรื่องที่ 2 ของสารคดีไทย เรียกว่าเข้ากระแสของเพลงในยุคนี้ได้ดีเลยออย่างกระแสของคนที่อยากเป็น “แร็ปเปอร์” ที่ผ่านเรื่องราวของเด็กหัวขบถ 2 คนจากคลองเตย ที่ใครหลายๆคนมองว่าคนจากที่แห่งนี้ อนาคตคงไปจบที่ขยะสังคมหรือไม่ก็เข้าซังเต ซึ่งนั่นคือ “บุ๊ค” ที่ค้นพบในแพชชั่นของการแร็ป เขาเป็นเด็กเรียนเก่งคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ กับความฝันของเขาที่จะไปเป็นแร็ปเปอร์ชื่อดังอีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นความขบถต่อสังคมที่อยู่ในตัวของเด็กคนนี้ กับเด็กอีกคนหนึ่งอย่าง “นนท์” ที่คงจะเป็นเด็กฐานันดรไร้ตัวตนจากเรื่องเมย์ไหนในเชิงเปรียบเทียบ ที่เห็นว่าการแร็ปนั้นทำให้เขามีคุณค่าขึ้นมาบ้าง
ตัวสารคดีเรื่องนี้พาคนดูเข้าไปดูถึงสภาพแวดล้อมในชุมชนคลองเตย ซึ่งเป็นด้านที่น้อยคนจะอยากรับรู้แล้ว เรายังจะได้เห็นถึงกรอบสังคม ค่านิยมทางการศึกษา รวมถึงนโยบายของรัฐบาลที่สะท้อนได้อย่างเจ็บแสบเลยทีเดียว ตัวสารคดีสามารถทำให้เราลุ้นและเอาใจช่วยในเส้นทางสายกลอนนี้ได้ดี อีกทั้งสารคดีเรื่องนี้ยังคว้ารางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมมาอีกด้วย ถ้าสนใจในสารคดีเรื่องนี้ สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ผ่านทาง Netflix
365 วัน – ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ : Final Score
สารคดีไทยเรื่องที่ 3 ที่อยากจะหยิบมาเล่าสู่กันฟังนั้น มีกุญแจสำคัญในด้านของการศึกษาของเด็กมัธยมปลาย เชื่อว่าใครหลายๆคนต่างผ่านวัยเรียนกันมาทั้งนั้น โดยเฉพาะช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่สุดแสนจะเคร่งเครียด ทั้งกดดัน ทั้งร้องไห้ ทั้งค้นหาตัวเองว่าจะเข้าที่คณะไหน มหาวิทยาลัยอะไร ซึ่งความน่าสนใจตรงนี้ ทำให้ค่ายหนังอารมณ์ดีตัดสินใจใช้เวลายาวนานถึง 1 ปี ในการติดชีวิตเด็กกลุ่มนี้ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ผ่านตัวเด็ก ผ่านคุณครู ผ่านผู้ปกครองของวัยรุ่นทั้ง 4 คน
กับการเดิมพันในสนามสอบที่สมัยนั้นยังเป็นระบบ O-NET, A-NET ที่ชี้ชะตานักเรียนม.ปลายหลายต่อหลายคนว่าจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ถ้าสนใจเรื่องนี้สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ผ่านทาง Netflix
เอหิปัสสิโก : COME AND SEE
สำหรับสารคดีไทยเรื่องที่ 4 ที่อยากจะแนะนำให้ดูกันนั้น นี่อาจจะเป็นหนังสารคดีที่เนื้อหาหนักที่สุดเลยก็ว่าได้ กับเรื่องราวที่มีแก่นของเรื่องอย่าง “วัดธรรมกาย” ที่กลายเป็นเรื่องที่มีสองฝั่งได้แก่ คนที่เชื่อและคนที่ไม่เชื่อ คนศรัทธาและคนที่ไม่ศรัทธา กับการสัมภาษณ์ผู้คนในอาชีพต่างๆ ทั้งพระ ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ สาวก หรือแม้แต่คนที่ไม่เชื่อ ผ่านมุมมองและทัศนคติที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงกระเพื่อมที่มากเพียงพอจนทำให้ต้องไปตั้งคำถามต่อ ว่าแท้จริงแล้วสิ่งนี้คือที่รวบรวมผู้คนที่ศรัทธา หรือเป็นเพียงแหล่งซ่องสุมเงินตราจากประชาชนกันแน่
จนกระทั่งตัวหนังได้สาดประเด็นที่หนักสู่สายตาผู้ชม เมื่อในปี 2560 ได้มีการออกหมายจับพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย กับคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งตรงนั้นทำให้อุณหภูมิของหนังเดือดได้อย่างไม่น่าเชื่อ เรียกได้ว่าดูสารคดีจบแล้ว ต้องกลับไปฉุกคิดและตั้งคำถามกับตัวเองอยู่นานพอควรเลยทีเดียว ความสุดขีดของเรื่องนี้คือ เป็นหนึ่งในสารคดีที่ฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว เป็นที่พูดถึงอย่างมากเลย แต่ถ้าอยากรับชมประสบการณ์อันไม่รู้ลืมนี้ สามารถรับชมได้แล้วผ่านทาง Netflix แบบถูกลิขสิทธิ์
BNK48 : Girls Don’t Cry
“ความฝันต้องเกิดหยาดเหงื่อจึงได้มา ใช้เวลาและค่อยเป็นค่อยไปดอกไม้จึงบาน คำว่าพยายามไม่เคยทำร้ายสักคนที่ตั้งใจ” เรื่องที่ 5 ที่อยากจะแนะนำทุกคนให้รู้จักกันนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากหนึ่งในท่อนร้องจากเพลง “Shonichi” หรือ “วันแรก” ของไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปอันดับหนึ่งของประเทศไทยอย่าง “BNK48” ที่โด่งดังจากท่าเต้นข้าวปั้นโอนิกิริในเพลง “คุกกี้เสี่ยงทาย” จนร้องกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง
จนกระทั่งทุกวันนี้ BNK48 กำลังจะเปิดรับสมัครรุ่นที่ 4 แล้ว แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้นั้น เด็กสาวรุ่นที่ 1 กว่า 20 ชีวิต ต้องแบกรับอะไรหลายๆอย่างมากมาย ที่เป็นเหมือนยาขม ความมืดมิด และบทเรียนราคาแพงที่เด็กสาวต้องเจอ ทั้งการแบ่งเวลาเรียนและทำงาน การซ้อมร้องซ้อมเต้นสุดหฤโหด หรือการแข่งขันภายในอันแสนดุเดือด ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดหนักจัดเต็มคุณผู้ชมแน่นอน และถึงแม้ว่าผู้ชมจะไม่ใช่แฟนคลับวงนี้ก็สามารถมีส่วนร่วมกับหนังสารคดีเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลยทีเดียว หากผู้ชมรู้สึกสนใจก็สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้แล้วผ่านทาง Netflix
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับ 5 สารคดีไทยที่ผู้เขียนคัดสรรมาให้คุณผู้ชมทุกท่าน มีความสนใจในเรื่องไหนเป็นพิเศษจนอยากไปดู หรือมีเรื่องไหนอยากจะแนะนำพ่อแม่ เพื่อน พี่น้องให้รับชมกันบ้าง เรียกได้ว่า 5 เรื่องนี้มีเสน่ห์ มีอรรถรสที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหนือกว่านั้นคือมันถูกเล่าผ่านบุคคลที่มีชีวิตอยู่จริง ซึ่งนั่นทำให้หนังสารคดีมันมีชีวิต มีมนต์ขลัง แบบที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ด้วยการถ่ายทอดที่เป็นความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น รวมถึงประเภทของภาพยนตร์นั้นที่มันจะทำงานทั้งในรูปแบบของตัวภาพยนตร์เอง หรือหลังจากที่ภาพยนตร์มันได้จบไปแล้ว ซึ่งนั่นคือแรงกระเพื่อม คือคำถามที่แล้วแต่ประสบการณ์ของคนพึงจะมี หนังสารคดีจึงจะสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📙 บทความที่เกี่ยวข้อง (Internal Resources)
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎