ขึ้นชื่อว่า “ซีรีส์เกาหลี” คงไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่เคยดู เป็นเวลายาวนานหลายต่อหลายปีที่ซีรีส์เกาหลีได้เข้ามาอยู่ในหัวใจคนทุกเพศทุกช่วงอายุ ตั้งแต่วัยยังเรียนหนังสือ วัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยเกษียณ ด้วยดีกรีความสนุกหลากหลายรูปแบบ หลากหลายแนวทั้ง โรแมนติก คอมเมดี้ ดราม่า แอ็คชั่น ระทึกขวัญ สยองขวัญ ซีรีส์ประเทศนี้มีให้หมด จะดูเอาบันเทิงเฉยๆ คั่นเวลายามเหงา ยามเบื่อ ยามเครียด หรือจะเอาสาระ เอาข้อคิดเอากลับไปคิดที่บ้านก็ได้
และด้วยเนื้อหา และการสนับสนุนจากภาครัฐทำให้กลายเป็นกระแสไปทั้งโลก อย่างล่าสุด ซีรีส์อย่าง “Squid Game” ก็ได้รับกระแสตอบรับที่ถล่มทลาย เป็นที่พูดถึงยาวนานข้ามปี สิ่งนี้คือความสำเร็จมูลค่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียว ซึ่งในปี 2022 ก็มีซีรีส์ดีๆหลากหลายรสชาติมาให้ได้รับชมกัน จะมีเรื่องอะไรบ้าง ไปดูกัน
All of Us Are Dead : มัธยมซอมบี้
ขอกระชากอารมณ์คนดูด้วยความเดือดดาล เพราะเรื่องแรกที่เราจะมาแนะนำกันคือเรื่องราวเกี่ยวกับ “ซอมบี้” ที่ไม่ได้มีดีแค่ไล่กัด ไล่งับเพียงอย่างเดียว เพราะเนื้อเรื่องนั้นเรียกได้ว่าเข้มข้นแบบสุดๆ กับเรื่องของ “โรงเรียนมัธยมปลายฮโยซัน” ที่ผู้คนในนั้นต้องเอาชีวิตจากไวรัสจาก “ฮอร์โมนเทสโทสเทอร์โรนในหนู” ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของหายนะ ที่ไม่ได้มีผลกระทบแค่ในโรงเรียนเท่านั้น แต่มันลามไปถึงหน่วยงานรัฐอีกด้วย
จุดเริ่มต้นของเชื้อเกิดจากครูสอนวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองฉีดไวรัสให้กับลูกชาย จนลูกชายติดเชื้อและไปกัดภรรยา แต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดแผนการนี้ จนกระทั่งมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกหนูกัด จนทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปทั่วโรงเรียน
จุดเด่นแรกเลย คือการนำเสนอ ทั้งเรื่องของเชื้อ รวมถึงตัวละครต่างๆที่เรียกได้ว่าเยอะมาก จะได้เห็นความสัมพันธ์ของตัวละครที่เข้มข้น ความเห็นแก่ตัว ความขัดแย้ง ความร่วมมือร่วมใจ และแนวทางต่างๆ ของคนเป็นครูและนักเรียนกับการแก้ไขสถานการณ์วิกฤติ รวมไปจนถึงการแก้ปัญหาของทางภาครัฐไม่ให้ปัญหามันลุกลามไปกว่านี้
จุดต่อมา คือ การสะท้อนสังคมที่ทำได้อย่างเจ็บแสบ ทั้งความเหลื่อมล้ำในสังคม อภิสิทธิ์ชน ความรุนแรง การคุกคามทางเพศ การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน เรียกได้ว่าดูเรื่องเดียวได้แต่ประเด็นหลายหลากเลย เป็นความแปลกใหม่ที่หนังหรือซีรีส์อาจจะไม่ได้หยิบมุมนี้มาเล่าบ่อยนัก ถือว่าเป็นเรื่องที่ควรค่ามาดูให้ได้ ซีรีส์เรื่องนี้มีความยาว 12 ตอนสามารถรับชมได้แล้วใน Netflix แบบถูกลิขสิทธิ์
Twenty-Five Twenty-One : ยี่สิบห้า ยี่สิบเอ็ด
มาต่อกันที่เรื่องที่ 2 กับซีรีส์น้ำดีอีกหนึ่งเรื่อง กับแนวโรแมนติก คอมเมดี้ที่อบอุ่นหัวใจ ชวนให้อินกันไปตามๆกัน กับความสัมพันธ์ ความคิด ความเจ็บปวด และการเติบโตในช่วงอายุต่างๆ และความฝันที่ต้องแปรเปลี่ยน เพราะยุคสมัยได้เปลี่ยนไป
ช่วงวัยที่ความฝันกำลังสุกงอม และแรงปรารถนาที่ยังร้อนแรงในจิตใจของ “นาฮีโด” นักกีฬาฟันดาบที่อยากประสบความสำเร็จ แต่ทว่าชมรมก็ถูกยุบไปเพราะวิกฤติเศรษฐกิจ และ “แพคอีจิน” ชายหนุ่มผู้มีชะตากรรมไม่ต่างจากเธอ เนื่องจากเป็นลูกชายคนโต ทำให้เขาต้องก้มหน้าทำงานอย่างหนักผ่านสถานการณ์ที่โหดร้าย รวมถึงตัวละครอื่นๆที่จะมาสมทบ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีสีสันและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น
ซีรีส์เรื่องนี้จะจูงมือเราเข้าไปยังโลกของพวกเขา กับเส้นทางที่ทั้งหวานจับใจ และขมจับจิต สิ่งที่เป็นมากกว่าความรักที่จะนำพาไปสู่จุดจบที่แสนจะตราตรึง และทำให้ใครหลายคนเสียน้ำตามานักต่อนักแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้สามารถรับชมได้ผ่านทาง Netflix เช่นเดียวกัน ซึ่งมีทั้งหมด 16 ตอนด้วยกัน
Thirty-Nine: สามสิบเก้า
ถ้าเรื่องที่แล้ว คือเรื่องราวของการเติบโตของวัยรุ่น เรื่องที่ 3 ที่จะหยิบยกมาเล่านั้นคือเรื่องของวัยที่โตขึ้นมาอีกหน่อย นั่นก็คือ “Thirty-Nine” นั่นเอง
ซีรีส์น้ำดีกับ เรื่องราว Coming of Age ของกลุ่มผู้ใหญ่วัยทำงานเต็มตัว ที่จะไปเห็นถึงความเป็นจริงของชีวิต ทั้งความรัก ความสัมพันธ์ และความตาย ของมิตรภาพของคนสามคนในวัย 39 ปี อย่าง “ชามีโจ” ลูกคุณหนูที่โตมาในสังคมที่เพียบพร้อม อาชีพของเธอในตอนนี้ก็คือผู้อำนวยการคลินิกผิวหนังในย่านกังนัม “โจชานยอง” ผู้หญิงที่พูดตรงๆ กับอาชีพครูสอนการแสดงกับความรักที่ดูไม่ง่ายสักเท่าไหร่ ซ้ำร้ายเธอยังป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะที่ 4 ที่มีโอกาสเสียชีวิตสูงมากอีกด้วย และ “จางจูฮี” ผู้จัดการแบรนด์เครื่องสำอางมากประสบการณ์ แต่ทว่าเธอก็ขี้อาย และไม่ชอบเสี่ยง จนกระทั่ง “พัคฮยอนจุน” ชายหนุ่มที่จะมาทำให้ชีวิตของจางจูฮีเปลี่ยนไป ซึ่งทั้งสามคนต่างคนต่างมีปัญหาเป็นของตัวเอง
ซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้ดูเผินๆ จะเป็นซีรีส์ธรรมดาทั่วไป แต่เรื่องกลับถาโถมผู้ชมในเรื่องสัจธรรมได้อย่างซับซ้อนและสมจริง จนใครหลายคนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ กับแก่นของเรื่องที่จะนำพาผู้ชมตั้งคำถามกับตัวเองในแง่มุมต่างๆ หลายต่อหลายครั้ง การเติบโตนำมาซึ่งความเจ็บปวด และการเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความเสียใจ แต่นั่นคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เชื่อว่าใครก็ตามที่อายุเลย 25 ปีเป็นต้นไปก็น่าจะเข้าใจในสิ่งที่สื่อได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องนี้ก็สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ใน Netflix เช่นเดียวกัน
Business Proposal : นัดบอดวุ่น ลุ้นรักท่านประธาน
มาต่อกันที่เรื่องที่ 4 ที่จะพาให้หัวเราะกันกับเรื่องราววุ่นๆของตัวเอก อย่าง “ชินฮาริ” สาวน้อยที่ติดสถานะโสด จนทำให้ชีวิตของเธอเครียดไปหมด ทว่าเพื่อนสาวก็ให้การช่วยเหลือด้วยการให้ไป “นัดบอด” นั่นคือการนัดพบกันของคนสองคนโดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน จนโชคชะตาก็เล่นตลก เพราะสาวออฟฟิศอย่างเธอดันได้เจอกับซีอีโอของบริษัทที่เธอทำงานอยู่อย่าง “คังแทมุน” ผู้ชายบ้างานที่เกลียดการโกหก โดยที่หารู้ไม่ว่า ทั้งสองคนนั้นคือเจ้านายและลูกน้องในบริษัท
ความอลหม่านได้เกิดขึ้นเมื่อการพบเจอในคราวนั้นมันได้กลายเป็นการตัดสินใจที่จะแต่งงานกันของซีอีโอหนุ่ม และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เรื่องราวอันตลกโปกฮาและความเล่นใหญ่ของนักแสดง ถือได้ว่าเป็นซีรีส์เบาสมองเรื่องหนึ่งที่น่าติดตาม
Forecasting Love and Weather : พยากรณ์วันนี้ มีรักบางแห่ง
ไปสู่บรรยากาศออฟฟิศกันอีกสักเรื่อง กับเรื่องราวในกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติเกาหลีใต้ กับ “จินฮาคยอง” นางเอกผู้แสนเย็นชา อยู่ในกฎเกณฑ์ ฉลาดหลักแหลม และพระเอกของเรื่องอย่าง “อีชีอู” ชายหนุ่มไอคิวสูง และมีความจริงจังสูง เรื่องราวเกิดขึ้นในการเตรียมงานแต่งของนางเอกที่คบกันยาวนานเข้า 10 ปีเข้าให้แล้ว แต่ทว่า “ฮันกีจุน” นักเรียนตัวท็อปผู้เป็นแฟนเก่าของจินฮาคยอง ก็กลับมาหักหลัง
เธอเลยเบนความสนใจมาที่งานเพียงอย่างเดียว จนความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ จินฮาคยองได้มาพบกับอีชีอูยามหัวใจร้าวราน จนทำให้ความสัมพันธ์และเส้นเรื่องเป็นเหมือนกับ “อากาศ” ที่ทั้งแปรปรวน คาดเดาได้ยาก ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ เพราะต้องจัดการกับงานที่หนักหน่วง ไหนจะต้องพยายามปิดบังความสัมพันธ์ไม่ให้แพร่งพรายไปยังที่ทำงานได้ และจะยังมีตัวละครสมทบอีกมากมายที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก
เรื่องราวของเขาและเธอจะเป็นอย่างไร สามารถติดตามได้ใน Netflix ซึ่งมีทั้งหมด 16 ตอนด้วยกัน
Tomorrow : พรุ่งนี้
เรื่องที่ 6 ที่จะหยิบยกมาเล่านั้น เต็มไปด้วยหลายส่วนผสม ทั้งแฟนตาซี ระทึกขวัญ และดราม่า พาให้เรียนรู้คุณค่าของการมีชีวิตอยู่ กับเรื่องราวของตัวเอกอย่าง “ชเวจุนอุง” หนุ่มวัยทำงาน ที่โปรไฟล์ดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะเดินเตะฝุ่นหางานมา 3 ปีแล้ว จึงอยากที่จะฆ่าตัวตายให้จบเรื่องไป แต่เขาก็ประสบอุบัติเหตุถึงขั้นอาการโคม่า จากการช่วยคนๆหนึ่งที่จะฆ่าตัวตายที่สะพานเช่นเดียวกัน ทำให้เขานอนเป็นผักอยู่ 3 ปี เหตุการณ์ผันแปรทำให้วิญญาณกับร่างแยกออกจากกัน ชเวจุนอุงไม่สามารถกลับเข้าสู่ร่างได้ เขาได้พบกับยมทูตนามว่า “คูรยอน” ที่มีอายุ 420 ปีเข้าไปแล้ว ผู้ปรากฏตัวพร้อมกับข้อเสนอที่ว่าการทำบุญช่วยเหลือคนอื่นจะทำให้หายจากอาการโคม่าได้ เขาจึงยอมทำงานในโลกหลังความตาย กับหน้าที่ในการช่วยชีวิตคนที่กำลังจะคิดสั้น แทนที่จะเป็นการพรากชีวิตคนอื่น นอกจากนี้เขายังต้องพบเจอกับแนวคิดต่างๆของยมทูตที่เป็นทั้งฝ่ายเดียวกัน และฝ่ายตรงข้ามที่มองว่าการฆ่าตัวตายคือความผิดพลาดของมนุษย์
ด้วยความลึกลับแฟนตาซี ที่ Special Effect อลังการ และเนื้อเรื่อง บท การแสดงที่เข้มข้นและชูโรง ที่สามารถเรียกคนดูได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ซึ่งใน Netflix มีทั้งสิ้น 16 ตอนด้วยกัน
Ghost Doctor
เดินทางกันมาสู่เรื่องสุดท้ายกันแล้ว กับเรื่องราวแฟนตาซีผสมผสานกับเนื้อหาทางการแพทย์ที่สนุกจนลืมไม่ลง แถมยังได้ “เรน” ซุปเปอร์ดาวค้างฟ้าของวงการเกาหลีมาเล่นด้วยนั่นเอง
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ “ชายองมิน” ศัลยแพทย์อัจฉริยะด้านหัวใจและทรวงอกที่มีฝีมือเลื่องชื่อ เขามีนิสัยที่หยิ่งผยองเนื่องจากความเก่งและอัจฉริยะ และ “โกซึงทัก” แพทย์หนุ่มที่ “ความรู้ท่วมหัว แต่เอาตัวไม่รอด” แม้ว่าความรู้ในเชิงทฤษฎีเขาจะมีมากแค่ไหน แต่ในภาคปฏิบัตินั้นเรียกได้ว่าไม่ได้เรื่อง สาเหตุที่ทำให้ทั้งสองมาพบเจอกันนั่นก็คือ เนื่องจากโกซึงทักมีฐานะร่ำรวย จึงมีเส้นสายที่จะได้มาทำงานทีมเดียวกับชายองมิน หากแต่ว่าชายองมินกลับรู้สึกไม่ถูกชะตา
แต่แล้วก็มีสถานการณ์มาทำให้ทั้งสองเผชิญชะตากรรมร่วมกัน เมื่อชายองมินในสภาพเลือดอาบ และวิญญาณก็ได้ออกจากร่าง เขาจึงต้องไปสิงร่างของโกซึงทักคนที่เขาไม่ถูกชะตานั่นเอง
ด้วยบรรยากาศในโรงพยาบาลและเนื้อเรื่องที่เป็นตัวชูโรงแล้ว ซีรีส์น้ำดีเรื่องนี้พาเราไปสู่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของแพทย์ ความสมจริงที่ทำได้อย่างเหนือชั้น และเคมีของสองตัวละครที่จะนำพาเราติดตามเนื้อเรื่องไปจนจบ
จบไปแล้วสำหรับการรีวิวซีรีส์ 2022 เป็นอย่างไรกันบ้าง ชอบเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้าง ต้องพูดว่าขนาดยังไม่ถึงครึ่งปี 2022 ยังมีซีรีส์น้ำดีจากเกาหลีมาให้ชมมากมายขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าแวดวงอุตสาหกรรมหนังเกาหลี ไม่เคยหยุดพัฒนา ไม่เคยหยุดทำซีรีส์ดีๆสู่สายตาแฟนๆทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยอีกด้วย
ด้วยพล็อตเนื้อเรื่องหลากหลาย เคมีของนักแสดง การถ่ายทำ รวมถึงคุณภาพด้านอื่นๆ ถือเป็นนิมิตหมายสำคัญ เป็นสัญญาณว่า แม้จะเป็นซีรีส์ต่างภาษา ก็ไม่ได้มีปัญหากับผู้ชมเลย นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมถึงประสบความสำเร็จมาเป็นเวลายาวนานหลายสิบปี ไม่ว่าจะดูเล่นๆ หรือดูแบบจริงจังก็ได้อรรถรสไปอย่างเต็มอิ่มแน่นอน ต่อจากนี้มาจับตาดูกันต่อว่าจะมีซีรีส์อะไรออกมาให้รับชมกันอีก
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📙 บทความที่เกี่ยวข้อง (Internal Resources)
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎