ในช่วงที่ผ่านมา มีซีรีส์และหนังบรรจุลง Netflix มากมายหลายเรื่องนับกันไม่ถูก นับกันไม่ไหว เพราะเยอะเหลือเกิน มีทั้งเรื่องที่ได้รับรางวัลและเรื่องที่รายได้ดี หรือเรื่องที่อินดี้มากๆ ก็มีเช่นเดียวกัน แต่คงจะไม่มีซีรีส์เรื่องไหนที่มันจะเตะตาคนดู และสร้างปรากฏการณ์อย่างยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ สมกับที่ใช้เวลาสร้างนานหลายปี กว่าจะมีเรื่องนี้ให้ชมกัน นั่นก็คือ “Arcane” ซีรีส์เกมจากผู้พัฒนา “League of Legends” อย่าง “Riot Games” นั่นเอง ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีอย่างล้นหลาม มีคำชมจากนักวิจารณ์มากมาย และได้รับคะแนนจาก IMDB ไปถึง 9.0 และได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ฝั่งนักวิจารณ์ไปถึง 100 % เต็ม ซึ่งหาได้ยากมาก วันนี้จะมาดูกัน ว่าทำไมซีรีส์เรื่องนี้ถึงประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้ ไปอ่านกัน
คำเตือน! บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์ Arcane ถ้าต้องการรับชมแบบไม่เสียอรรถรส สามารถรับชมได้ทาง Netflix มาก่อนอ่านบทความนี้
เนื้อเรื่องย่อของ Arcane
โดยโครงเรื่องจะเล่าถึงดินแดนสองดินแดนอย่างพิลโทเวอร์ที่เป็นเมืองเทพดุจเทพสร้าง มีความเจริญในด้านทรัพยากร ผู้คน และด้านวิชาการ การปกครองที่ดี ผู้คนมีความสุข เมืองสวยงามไปแทบจะทุกตารางเมตร แตกต่างจากซอน ที่อยู่ภายใต้การปกครองของพิลโทเวอร์อีกที ซึ่งดินแดนแห่งนั้นตรงกันข้ามกับพิลโทเวอร์เหมือนดำกับขาว ทั้งความสกปรก ความเหลื่อมล้ำ ความเน่าเฟะ นิสัยของคนในนั้น ไม่ต่างอะไรจากสลัม ดินแดนสองแห่งนี้มีปัญหาในเรื่องของการต่อสู้กับความร่ำรวยและความยากจนมาช้านาน
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อสองพี่น้องอย่าง “ไว” และ “พาวเดอร์” และทีมมีความต้องการที่จะไปช่วงชิงอัญมณีสีฟ้าที่จะเป็นตัวแปรสำคัญถึงความมั่งคั่ง จนกระทั่งพื้นที่โดยรอบเกิดความเสียหาย ซึ่งนั่นก็คือแล็ปของ “เจส” นั่นเอง และเมื่อแล็ปนั้นเสียหาย ความบรรลัยจึงเกิดขึ้น เรื่องแดงไปถึงการสืบเสาะหาคนกระทำผิด “แวนเดอร์” พ่อบุญธรรมของทั้งคู่ถูกผู้มีอำนาจกดดันให้หาตัวคนผิดมาให้ได้ ทว่าการมาของ “ซิลโก” ผู้มีความต้องการจะผลิตสารสีม่วงเพื่อสร้างอำนาจ และซิลโกก็มีความบาดหมางกับแวนเดอร์เช่นกัน
อัญมณีที่เจสกำลังจะคิดค้นนั้น เขาได้ร่วมมือกับเพื่อนร่วมชะตากรรมอย่าง “วิคเตอร์” เพื่อคิดค้นเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง“เฮ็กซ์เทค” ที่ผสมผสานเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ รวมไปถึง “เฮ็กซ์เกต” เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางอีกด้วย
ในขณะที่ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น เส้นแบ่งของความเท่าเทียมค่อยๆห่างกันมากขึ้นๆทุกที ทุกคนต่างหาวิธีในการต่อสู้ในรูปแบบของตัวเองจนนำไปสู่ปลายทางที่ไม่มีใครคาดคิด
ซีรีส์เรื่อง Arcane กับ วิธีการเล่าเรื่องแบบเฉียบขาด
นับว่าเป็นความฉลาดแบบมีการวางแผนมาอย่างดี สำหรับซีรีส์เรื่อง Arcane สำหรับการเล่าเรื่อง ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่มอบอิสระในการดูอย่างแท้จริง ซึ่งเราสามารถดูเรื่องนี้แบบสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากก็ได้ หรือจะดูแบบเจาะรายละเอียดทุกส่วนก็ได้ ทั้งการเล่าเหตุการณ์ย้อนหลังและการบอกใบ้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือการเปรียบเปรยก็ตามที ความชัดเจนของบทสนทนามันสามารถทำให้เราติดตามได้ ถึงแม้ว่าภาษาวิทยาศาสตร์มันอาจจะฟังดูเข้าใจยากไปบ้างในบางครั้ง
ด้วยจำนวนตอนที่น้อยเพียง 9 ตอนเท่านั้น ทำให้เนื้อเรื่องดูไม่ยืดเยื้อ ไม่จำเจ เรียกได้ว่าเปิดมาก็ฮุคเลยทีเดียว และสามารถตกเบ็ดคนดูได้อย่างอยู่หมัด โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ซีรีส์เรื่องนี้กับตัวละครที่มีเหตุผลเป็นของตัวเอง ไม่มีใครเป็นตัวเอกหรือตัวร้ายโดยชัดเจน
ในซีรีส์อนิเมชั่นเรื่องนี้ แต่ละตัวละครจะมีความคิด แรงจูงใจ การแก้ปัญหา แนวทางในการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ซี่งนั่นไม่มีใครผิด แต่อาจจะทำให้ตัวละครมีความซับซ้อน เสียจนแตกต่างจากหลายต่อหลายเรื่องที่มีความชัดเจนที่มีฝั่งธรรมะและอธรรมแบบชัดเจน อย่างเช่น แวนเดอร์ที่ยังคงมีความกลัว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งหัวหน้าที่ดีในสายตาของชาวเมือง ตัดกับซิลโก้ที่อุดมการณ์ชัดเจนเหลือเกินว่ามีความต้องการสูงที่จะทำทุกอย่างเพื่ออำนาจ โดยไม่สนใจว่าจะต้องแลกมากับอะไร แต่ทว่าอำนาจนั้นมันเป็นสิ่งที่เอาไว้ให้เมืองซอนได้มีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นมาบ้าง แต่ที่หนักสุดก็คงจะเป็น “จิ๊งซ์” หรือพาวเดอร์เวอร์ชั่นกลายสภาพ จากความเสียใจขั้นสุด กลายเป็นปมในใจและเปลี่ยนตัวตนของเธอไปตลอดกาล แต่ทว่าเธอก็ยังคงห่วงหาอาทรคนเป็นพี่สาวอยู่ดี
ตัดกลับไปที่เจสและวิคเตอร์ สองตัวละครนี้มีแรงจูงใจที่ดีและชัดเจนมาก เจสต้องการที่จะไต่เต้าให้เป็นที่รู้จักโดยได้รับการช่วยเหลือจาก “เมล เมดาร์ด้า” ในขณะที่วิคเตอร์ทำงานทั้งวันทั้งคืน เพราะตัวเขากำลังจะป่วยตายอยู่แล้ว จนถึงขั้นใช้เลือดของตัวเองเพื่อทำปฎิกิริยากับเฮ็กซ์เทคนั่นเอง แตกต่างจาก “ไฮเมอร์ดินเจอร์” ที่ไม่เร่งรีบจนเกินไป เพราะความเป็นอมตะของตัวละคร เพราะซึ่งการมีอยู่ของตัวละครเหล่านี้ จุดประสงค์ที่แตกต่างกันขนาดนี้นำไปสู่ตอนจบของตอนที่ 9 ที่ทำเอาตาค้างไปตามๆกัน และสิ่งที่ทำเอาใครหลายคนยกให้เป็นฉากที่น่าจดจำที่สุด ก็คงจะหนีฉากต่อสู้ระหว่าง จิงซ์ และ “เอคโค่” ที่จากเพื่อนรักที่ต้องมากลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต ผ่านการฟาดฟันที่แต่ก่อนเป็นแค่การเล่นกันในสมัยเด็ก สู่การเลือดตกยางออก ตีเป็นตี ยิงเป็นยิง พุ่งเป็นพุ่งในชีวิตจริง ผ่านความทรงจำและความผูกพันที่มีต่อกันมาอย่างช้านาน ที่ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็บีบหัวใจทุกครั้ง
ซีรีส์ Arcane การันตีด้วยคะแนนที่ดีจากหลายสำนัก
ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย สำหรับสื่ออย่างซีรีส์เรื่องหนึ่งที่จะได้ใจคนดูไปมากขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นจากคนดูหรือนักวิจารณ์ฝั่งไทยอย่างเช่น อินฟลูเอนเซอร์สายหนังหลายช่องที่คะแนนไปถึง 9 ขึ้นไปหรือ 9.5/10 ไปเลย และอย่างที่เล่าไปว่า ได้รับคะแนนจาก IMDB ไปถึง 9.0 และได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ฝั่งนักวิจารณ์ไปถึง 100% เต็ม ซึ่งหาได้ยากมากสำหรับซีรีส์ยืนเดี่ยวในขณะนี้ รวมถึงกระแสการบอกเล่าปากต่อปาก รวมถึงแฟนอาร์ตที่มีมากมาย ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าซีรีส์เรื่องนี้ไปสุดขนาดไหน
เพลงประกอบของซีรีส์ Arcane ที่เข้ากับเรื่องได้ดี
ในซีรีส์เรื่องนี้หนึ่งในองค์ประกอบของซีรีส์อย่างเสียงเพลงก็ถือว่าทำออกมาได้ดี โดยเพลงหลายเพลงที่เลือกมาในแบบที่เรียกว่าเข้ากับเรื่องได้ดี เช่น
Imagine Dragons – Enemy feat. J.I.D.
Sting – What Could Have Been feat. Ray Chen
Denzel Curry, Gizzle, Bren Joy – Dynasties & Dystopia
Ramsey – Goodbye
Bea Miller – Playground
อะไรบ้างคือสิ่งที่ Arcane พยายามที่จะบอกกับคนดู
สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างเด่นประจักษ์ชัดเลย นั่นคือตัวละครที่กลมเสียจนไม่มีความแตกต่างจากชีวิตจริงของเราสักเท่าไหร่นัก ในเรื่องของปณิธาน หากตัดความเป็นแฟนตาซีทิ้งไป โดยเฉพาะเรื่องราวของวัยเยาว์ที่ยังคงมีประเด็นอะไรให้เล่าอยู่เสมอ ทั้งความบริสุทธิ์ที่ต้องมาถูกสังเวยให้แก่โศกนาฏกรรมของสังคม ชีวิตวัยรุ่นที่ถูกพรากเอาไป กับการต่อสู้ช่วงชิงกันเอง ตัวละครทุกตัวมีบาดแผลที่ลึกเกินกว่าจะอธิบายได้ นั่นหมายถึงตัวละครมีความเป็นมนุษย์อยู่สูงมาก ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองใดก็แล้วแต่ ด้วยความ รัก โลภ โกรธ หลง ก็อาจจะเป็นทำร้ายคนอื่นโดยที่ไม่รู้ตัว หรือการที่แต่ละตัวละครมีความคิดเป็นของตัวเองก็จะกลายเป็นเหมือนดาบสองคมที่อาจจะทำให้อีโก้ดูสูงขึ้น และบดบังความปรารถนาดีของคนอื่น
การคาดเดาสำหรับซีซั่น 2 ที่จะปล่อยออกมาในอนาคต
แน่นอนว่าซีรีส์ที่มีการตอบรับในทางบวกมากขนาดนี้ ทางผู้จัดก็ไม่ลังเลที่จะมีซีซั่น 2 ต่อมาอีกในอนาคตออกมาให้ฐานแฟนคลับ ทำให้คนดูอยากจะดูมากขึ้นไปอีก เพราะในตอนที่ 9 นั้นก็ถือว่าค้างคาใช่ย่อย และสิ่งหนึ่งแน่ๆ คือการกลับมาเล่าในประเด็นที่คั่งค้างที่ไม่จบไม่สิ้น รวมถึงน่าจะมีการเปิดตัวละครใหม่ๆ เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นซีรีส์อนิเมชั่นธรรมดาๆ แต่ทว่าโดยพื้นฐานก็มาจากเกม League of Legends เหมือนกัน คอนเซปต์น่าจะคล้ายๆกันกับจักรวาลฮีโร่อย่างมาร์เวลและดีซีที่คุ้นๆกันดีนั่นเอง และคาดว่าเนื้อเรื่องน่าจะซับซ้อนกว่าซีซั่นแรกแน่ๆ และคาดว่าน่าจะต้องตั้งใจดูกว่าซีซั่นแรกแน่ๆ
ส่วนเรื่องงานภาพ งานสี งานเสียง งานเพลงประกอบ เลยจุดที่เรียกว่าน่าเป็นห่วงไปแล้ว เพราะซีซั่นแรกทำได้เหนือกว่าคำว่ามาตรฐานขนาดนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรทำคือนับวันรอ และเตรียมซื้อขนม ลูกอม เครื่องดื่มและโซฟานุ่มๆ เพื่อดื่มด่ำกับซีรีส์คุณภาพเรื่องนี้ได้เลย
เป็นอย่างไรกันบ้างผู้อ่านทุกท่าน กับซีรีส์เรื่อง Arcane นี้ที่อยากจะแนะนำให้ได้รู้จักกัน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว ซึ่งก็อาจจะเป็นหนึ่งในอีกเรื่องที่จะอยากจะแนะนำให้กับคนอื่นได้เช่นเดียวกัน แล้วผู้อ่านมีความชอบหรืออยากแนะนำใครเป็นพิเศษไหม แต่สำหรับผู้เขียนแล้ว มันคือซีรีส์ที่อยากบอกต่ออย่างที่สุดเรื่องหนึ่งเลย ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่เคยเล่าไปก่อนหน้านี้ ที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าซีรีส์เรื่องนี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพขนาดไหน จากข้อพิสูจน์มากมายหลายหลากเลยทีเดียว ซึ่งตอนนี้ได้ข่าวจากทาง Netflix แล้วว่ากำลังจะมีภาค 2 ในเร็วๆนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีสำหรับคนดูรอดูตอนต่อไป กับตอนจบของซีซั่นแรกที่ค้างเติ่งจนผงะกันเลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครอยากดูก็สามารถหาดูก่อนได้เลยผ่านทาง Netflix
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📙 บทความที่เกี่ยวข้อง (Internal Resources)
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎