หลากหลายปีผ่านไป อะไรหลายต่อหลายอย่างก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันเกิดขึ้น ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ที่ทุกอย่างนั้น ขับเคลื่อนด้วยวัตถุนิยมและทุนนิยม อำนาจทางการเมืองมีผลต่อชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งบางทีอาจส่งผลเสียอย่างคาดไม่ถึง คงเป็นเพราะโลกมันเครียด สังคมกดดัน ผู้คนมีความแปดเปื้อนในจิตใจ มันมืด มันโหดร้าย มันอยากระบาย มันอยากปลดปล่อย และในเมื่อผู้คนอยากปลดปล่อยความป่าเถื่อน หนังแนวนี้จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อดับความโกรธ ความเลือดร้อนเหล่านั้น หรือไม่ก็ให้คนดูสามารถสนุกกับมันแบบขั้นสุด ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหนังแนวนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นกระแสใหม่ที่น่าจับตามองเลยทีเดียว ซึ่งผู้เขียนก็อดไม่ได้ที่จะเขียนบทความเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟัง ส่วนจะมีเรื่องอะไรกันนั้น ไปอ่านกันได้เลย
Hunger Games : เกมล่าเกม
เรื่องแรกของหนังไล่ฆ่ากันเองที่จะเล่ากัน เป็นเรื่องราวที่เกิดจากนวนิยายขายดี กลายเป็นเรื่องราวมหากาพย์เกมล่าเกมที่ได้รับความนิยมจวบจนปัจจุบัน โดยที่ประชากรเหล่านั้น อาศัยอยู่ใน “พาเน็ม” ที่มีขนาดใหญ่มหึมา แบ่งเป็นเขต 13 เขตอย่าง “แคปปิตอล” จนกระทั่ง เขต 13 ได้ลุกฮือขึ้นมาประท้วง จนเกิดความโกลาหลเกิดขึ้น จนทำให้เกิดการปฏิวัติเกิดขึ้น ทำให้เขต 13 ต้องถูกยุบตัวไป
เพื่อป้องกันการสูญเสียอำนาจจึงเกิดการแข่งขันเกมล่าเกมเกิดขึ้น โดยมีตัวแทนจากเขตจาก 12 เขตที่เหลือ ซึ่งแต่ละเขตก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป และฐานะที่แตกต่างกันไป แต่ละเขตก็ต้องส่งตัวแทนที่เป็นชาย 1 คน หญิง 1 คน เข้าร่วมเกมล่าชีวิต ซึ่งในครั้งนี้ได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 74 แล้ว ซึ่งก็มีพระเอกและนางเอกที่ดำเนินเรื่องหลักๆอย่าง “แคตนิส เอเวอร์ดีน” และ “พีต้า เมลลาร์ก” เข้าร่วมด้วย นำไปสู่การแข่งขันไล่ล่าฆ่าฟันกันเองอันสุดแสนดุเดือด เรื่องราวจะเป็นอย่างไร สามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix, Apple TV, Google Play โดยปัจจุบันให้รับชมถึง 3 ภาค และ ภาค 3 ก็มีการแบ่งเป็น 2 พาร์ทอีกด้วย
Battle Royale : เกมนรก โรงเรียนพันธุ์โหด
เรื่องต่อมาที่จะเล่าให้ฟังกันนั้น ถือว่าเป็นหนังขึ้นหิ้งของเหล่าบรรดาหนังฆ่ากันเองที่สุดแล้ว ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในเหล่าบรรดาหนังไล่ล่าฆ่ากันฟันกันเองในยุคหลังๆนั้น เกิดจากหนังเรื่องนี้นั่นเอง ด้วยเนื้อหาของการสะท้อนสังคม และสะท้อนความเป็นมนุษย์แบบถึงลูกถึงคน และความโหดเลือดสาดแบบชนิดที่ไม่แคร์สื่อ
ซึ่งเนื้อเรื่องนั้นได้กล่าวถึงประเทศญี่ปุ่นที่ทุกอย่างนั้นได้พังลง ทั้งระบบสังคม และเศรษฐกิจรวมถึงการศึกษาได้พังลงด้วย ผู้คนในวัยผู้ใหญ่ตกงาน เด็กส่วนใหญ่ไม่ไปโรงเรียน ไม่เรียนหนังสือ ด้วยความหวาดกลัวที่จะสูญเสียอำนาจ จึงส่งนักเรียนจำนวนหนึ่งไปที่เกาะมรณะ โดยที่ทุกคนนั้นจะถูกใส่ปลอกคอแห่งความตาย และในเกาะแห่งนี้ นักเรียนทุกคนจะต้องถูกบังคับให้ไล่ล่าฆ่ากันฟันเอง เพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว โดยนักเรียนจะได้รับอาหารและน้ำ เข็มทิศ แผนที่ ไฟฉาย และอาวุธแบบสุ่ม เช่น มีด ขวาน ปืน หรือแม้แต่ ฝาหม้อ อีกทั้งในเกาะแห่งนี้ยังจุดเสี่ยงที่แตกต่างกันไปในแต่ละจุดอีกด้วย และภายในสามวัน หากไม่มีใครรอดชีวิตแบบ 1 คน ปลอกคอทุกอันจะระเบิด ซึ่งนั่นหมายถึงนักเรียนทุกคนจะต้องตาย ซึ่งในปัจจุบันมีให้รับชมแล้วถึง 2 ภาค
Death Race : ซิ่ง สั่ง ตาย
หนังเรื่องที่ 3 ที่จะพาไปทำความรู้จักกันจะมีความบู๊เข้ามาเกี่ยวข้อง กับนักแสดงหลายๆคนจาก Fast and Furious อย่าง “เจสัน สเตทแธม” และ “ไทรีส กิ๊บสัน” กับเรื่องราวในยุคโลกอนาคตที่โหดร้าย สิ้นหวัง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เศรษฐกิจล่มสลาย และมีการแข่งขันกีฬาแข่งรถที่เอากันถึงตาย โดยผู้เข้าแข่งขันนั้นคือนักโทษแดนประหาร ที่กลายมาเป็นรายการเรียลลิตี้ ที่เรทติ้งสูงอย่างชะงัดนัก ที่ใครชนะ 5 ครั้ง จะได้รับอิสรภาพ แต่ใครก็ตามที่พ่ายแพ้ จะได้รับจุดจบอันน่าสมเพช อย่างความตาย และภาพศพที่เละเทะจะถูกเอาไปเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต
เนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นคือ “เจนเซ่น อาเมส” ที่เป็นนักโทษต้องใส่หน้ากากแฟรงเก้นสไตน์แข่งขันในเกมเถื่อนนี้ ไม่อย่างนั้นโอกาสที่จะได้เจอกับลูกสาวของเขาจะเป็นศูนย์ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องสู้รบปรบมือกับคู่แข่งมือฉกาจอย่าง “แมทชีน กัน โจ” ไปให้ได้ หนังเรื่องนี้มีให้ชมฟรีผ่านทาง Netflix, Google Play และ Apple TV
The Running Man
เรื่องที่ 4 ของหนังไล่ฆ่ากันเองที่จะพาคนดูไปลุ้นระทึกกัน เป็นหนังเก่ายุค 90 ที่นำแสดงพ่อเทพบุตรคนเหล็กอย่าง “อาร์โนลด์ ชวาเซเนกเกอร์” มาเป็นนักแสดงนำ ซึ่งกล่าวถึงอนาคตในอีกหลายสิบปีต่อมา ที่สภาพประเทศตกต่ำถึงขีดสุด สหรัฐอเมริกาประกาศนโยบายเผด็จการอย่างเต็มรูปแบบ มีการควบคุมสื่อและสิ่งต่างๆมากมาย เช่น ศิลปะ, การติดต่อสื่อสาร รวมถึงการออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์
และนั่นก็มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นโดยมีการแข่งขันที่เป็นภาพสะท้อนจากความรุนแรงของรัฐบาล ที่เอานักโทษมาเล่นเกมนรก เพื่อหาผู้ชนะนี้ไปให้ได้ ยังไม่พอ ในเกมนั้นเขาจะต้องสู้รบปรบมือกับเหล่าบรรดาสตอร์กเกอร์ที่โหดเหี้ยมอำมหิต จนต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียว ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เบน ริชาร์ดส์” ความจริงแล้ว เขาก็ไม่ใช่คนที่ชั่วอะไร เขาเป็นแค่คนที่ขัดคำสั่งหัวหน้าตัวเองก็เท่านั้น แต่เมื่อเขาถูกจับ ก็เลยต้องเล่นเกมเป็นเกมตายนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังเก่าก็สามารถดูได้แบบถูกลิขสิทธิ์ผ่านทาง Google Play
Dark World : เกม ล่า ฆ่า รอด
หนังไล่ฆ่ากันเองเรื่องที่ 5 นี้ จะพาทุกคนมาลองเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ใครที่คิดว่าหนังแบบนี้มีแค่ในต่างประเทศ ขอบอกว่าคิดผิดแบบมหันต์ เพราะว่ามันได้เกิดขึ้นแล้วในประเทศไทย และไม่ใช่หนังธรรมดา แต่ทว่ามันเป็นหนังที่เคยไปฉายที่ต่างประเทศ แถมได้นักแสดงระดับมืออาชีพระดับสูง อย่าง “เดวิด อัศวนนท์” และ “วิลลี แมคอินทอช” ก็เพิ่มดีกรีความอยากดูมากขึ้นไปอีก กับหนังที่ใส่ทุกอย่างเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งแอ็คชั่น ดราม่า จิตวิทยา รวมถึงปรัชญา
กับเรื่องราวในอนาคตที่ประเทศไทยนั้นได้เข้าสู่สภาวะล่มสลายในการปกครอง ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 3 ที่ความเหลื่อมล้ำสูง โดยมีเพื่อนสามคนอย่าง “รัน”, “ไอรีน” และ “เฟียร์” ต้องมาเล่นเกมชิงไหวชิงพริบ ที่เล่นกันถึงตาย ซึ่งดัดแปลงผ่านเกมการละเล่นของเด็กอย่าง มอญซ่อนผ้า ตีจับ รวมถึงเก้าอี้ดนตรี อีกด้วย ซึ่งต้องบอกเลยว่าหนังเรื่องนี้มีจุดหักมุมด้วย ซึ่งจะหักมุมขนาดไหนสามารถรับชมได้แบบถูกลิขสิทธิ์ได้ที่ Netflix
The Purge : คืนอำมหิต
ไปกันต่อเลยสำหรับเรื่องที่ 6 ของหนังไล่ฆ่ากันเองที่จะมาแนะนำนี้ ที่ถ้าจะพูดถึงหนังไล่ล่าฆ่ากันฟันกันเอง แล้วไม่มีหนังเรื่องนี้ เรียกได้ว่ามาไม่ครบสูตรก็ว่าได้ กับหนังเรื่องนี้ที่คอนเซปต์และแก่นของเรื่อง ถือว่าโดดเด่นกระแทกใจคนดูไปแบบเต็มๆ กับเรื่องราวที่ใหญ่ขึ้นในทุกๆภาค แต่ในบทความนี้จะขอเล่าเรื่องปฐมบทอย่างภาคแรกที่นำไปสู่ภาคต่อมาที่สร้างความสะพรึงกลัวอย่างที่สุดอีกหลายภาค
กับเรื่องราวของเทศกาลไล่ล่าฆ่าฟันกันเอง ที่สนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุนให้มีการฆ่ากันในคืนวันหนึ่งในรอบปี เป็นเวลา 12 ชั่วโมงที่สามารถฆ่าใครก็ได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ตำรวจ พยาบาล และพนักงานดับเพลิงจะไม่เปิดทำการในวันนั้น เพื่อให้คนออกมาฆ่าได้อย่างเต็มที่ ล้างเลือดได้มากเท่าที่ต้องการ ทว่ามีครอบครัวของ “เจมส์ แซนดิน” เลือกที่จะปกป้องตัวเองด้วยการปิดประตูบ้าน และใส่อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเอาไว้ อย่างมิดชิด และเขาเองก็ทำงานเป็นพนักงานขายอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเหล่านี้ด้วย ซึ่งเรื่องก็ดันมาซวยที่ลูกชายของเจมส์อย่าง “ชาร์ลี” ดันไปเปิดประตูรับคนจรเข้ามาในบ้าน ทำให้พวกที่ต้องการจะฆ่าคนหมายจะพุ่งเป้ามาที่บ้านของเจมส์ และแฟนของ “โซอี้” ที่แอบเอาแฟนหนุ่มเข้ามาในบ้านด้วย ความบรรลัยขั้นสูงสุดจึงถือกำเนิดขึ้น กับค่ำคืนที่จะเปลี่ยนชีวิตของครอบครัวนี้ไปตลอดกาล โดยหนังเรื่องประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง จนทำให้มีหนังภาคต่อมาแล้วถึง 5 ภาคด้วยกัน
The Belko Experiment : เกมออฟฟิศ ปิดตึกฆ่า
เดินทางมาถึงเรื่องที่ 7 แล้ว นี่คือ Battle Royale ในแบบฉบับของวัยทำงานอย่างแท้จริง เพิ่มดีกรีความโหดแบบไม่แคร์สื่อจากคนเขียนบทโดย “เจมส์ กันน์” บุคคลมากความสามารถผู้อยู่เบื้องหลังหนังซูเปอร์ฮีโร่จากค่ายมาร์เวลและดีซี รวมถึงหนังซอมบี้อีกด้วย แถมยังได้ทีมผู้สร้างจากหนังขึ้นในตำนานอย่าง “เดอะ คอนเจอร์ริ่ง” และ “แอนนาเบล” ก็ทำให้ดีกรีความน่าดูของเรื่องนี้พุ่งทะลุอย่างสุดขีด กับเรื่องราวของสังคมออฟฟิศแห่งหนึ่งที่กลายเป็นสนามทดลอง เรื่องเกิดขึ้นในเบลโก อินดัสทรีส์ เมื่อชาวอเมริกัน 80 คนที่ทำงานในบริษัทแห่งนี้ต่างถูกขัง และต้องไล่ล่าฆ่าฟันกันเอง เพื่อความอยู่รอด โดยได้รับคำสั่งมาจากเสียงมรณะที่ไม่อาจจะทราบได้ กับเกมชีวิตที่ต้องฆ่าเพื่อความอยู่รอดอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้แล้ววันนี้ที่ Google Play และ Apple TV
The Hunt : จับ ล่า ฆ่าโหด
เดินทางมาถึงเรื่องสุดท้ายกันแล้ว ของหนังแนวไล่ล่าฆ่าฟันกันเอง เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาเข้าสู่เนื้อเรื่องกันเลย กับเรื่องราวของคนแปลกหน้าจำนวน 12 คน ที่ตื่นขึ้นมาท่ามกลางปริศนาว่าพวกเขาอยู่แห่งหนใด แต่ทว่าพวกเขาตกเป็นเป้าของเหล่าบรรดาผู้คนชนชั้นสูงที่มารวมตัวกันที่คฤหาสน์หลังใหญ่เพื่อที่จะได้ล่าคนกลุ่มนี้ ซึ่งไม่ต่างอะไรไปจากเกม ติดตรงที่ว่า “คริสตัล” หนึ่งในสมาชิกที่โดนจับตัวมาดันรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของเกมนี้ จึงพลิกแนวจากผู้ถูกล่าเป็นผู้ล่า และเมื่อเกมเปลี่ยน ความสนุกจึงถือกำเนิดขึ้น ทว่าเธอเองก็ต้องหากุญแจสำคัญ ซึ่งนั่นก็คือหญิงลึกลับ ที่อยู่เบื้องหลังแผนทั้งหมดนี้ ซึ่งสามารถรับชมแบบถูกลิขสิทธิ์ได้แล้ววันนี้ที่ Google Play และ Apple TV
เป็นไงบ้างสำหรับลิสต์หนังไล่ล่า ฆ่าฟันกันเอง ที่หยิบยกมาเล่าสู่กันฟังนี้ น่าจะทำให้คุณผู้ชมได้มีมุมมองใหม่ๆได้บ้าง ทั้งนี้ไม่ได้สนับสนุนให้มีความรุนแรงแต่ประการใด และไม่ได้สนับสนุนให้ฆ่าคนแต่ประการใด นี่เป็นเพียงแค่สิ่งที่หนังต้องการจะสื่อเท่านั้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังที่ดูได้ทุกเพศทุกวัย และไม่เหมาะกับคนขวัญอ่อน ซึ่งจะต้องใช้วิจารณญาณในการดูในระดับสูง และที่สำคัญถ้าจะแนะนำหนังแนวนี้ ก็ต้องควรดูให้ดีเสียด้วย และชีวิตของคนเรา มันไม่ได้มีแค่ด้านดีอย่างเดียว คนๆหนึ่งสามารถมีด้านดาร์กในแบบที่เราคาดไม่ถึงได้เหมือนกัน บางคนนั้นดาร์กเสียจนเราคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ในชีวิตจริงมันก็เป็นเช่นนี้แหละ ซึ่งบางทีแล้วเราก็อาจไม่สามารถไว้ใจคนรอบข้างเราได้เลย บางครั้งการดูหนังเพื่อย้อนดูตัวเองก็เป็นสิ่งที่ควรทำเช่นเดียวกัน บางครั้งหนังเองก็สอนอะไรเราได้ดีเช่นเดียวกัน แล้วคุณผู้ชมอยากที่จะชมเรื่องไหนเป็นพิเศษหรือไม่ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เปิดใจรับชมแนวนี้ได้บ้าง
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📙 บทความที่เกี่ยวข้อง (Internal Resources)
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎