หากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนสิ่งที่เรียกว่าแอร์หรือเครื่องปรับอากาศอาจจะยังไม่ใช่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตมากมายเท่าในปัจจุบัน แต่เนื่องจากสมัยนี้รูปแบบการใช้ชีวิตของคนในสังคม รวมไปถึงอากาศของบ้านเมืองเราที่มีแต่ความร้อนซึ่งส่งผลเสียทั้งในด้านของสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจ จึงไม่แปลกที่การเลือกใช้งานตัวช่วยอย่างแอร์จึงเป็นทางเลือกที่คนสมัยที่ต้องการ ดังนั้นแน่นอนว่าปัญหาของการที่จะต้องเปิดแอร์อยู่แทบทั้งวันก็คือค่าไฟที่แพงมากยิ่งขึ้น จนหลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันเกินจะรับไหว เพราะฉะนั้นในบทความนี้เราจะมาแนะนำวิธีเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัด พร้อมบอกเคล็ดลับในการเลือกแอร์แบบง่าย ๆ เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับทุกคน
เทคนิคง่าย ๆ ช่วยไขข้อข้องใจว่าเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัด
การศึกษาวิธีการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิธีการลดต้นทุนและค่าครองชีพที่จำเป็นมากสำหรับหลายครอบครัว เพราะนอกจากสมัยนี้ค่าไฟจะแพงมาก ๆ แล้ว อากาสที่ร้อนมากขึ้นทุกวันก็ยังทำให้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเปิดแอร์ได้เลย ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับองค์กรหรือสถานประกอบการที่จะต้องมีการเปิดแอร์อยู่ตลอดทั้งวันก็ยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินจำนวนน้อยเลยอย่างไม่อาจจะหลีกเลี่ยงอีกด้วย เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการช่วยเหลือทุกคนที่กำลังประสบปัญหา เราได้รวบรวมเอาเทคนิคง่าย ๆ ที่จะทำให้ทุกคนสามารถเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดมาฝากกัน บอกได้เลยว่าใครที่ลองไปทำตามดูแล้วจะต้องเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจแน่นอน
1.เลือกแอร์ให้ถูกประเภท
ประเภทของแอร์ก็นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อค่าไฟในระยะยาวของผู้ใช้งานได้เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเทคนิคเบื้องต้นในการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัด ก็คือการเลือกใช้งานแอร์ให้ถูกประเภทนั่นเอง โดยรูปแบบของแอร์สำหรับใช้ในครัวเรือนหรือสำนักงานก็จะสามารถแบ่งออกเป็นหลากหลายประเภทขึ้นอยู่กับการทำงานและการออกแบบ เช่น แอร์แบบธรรมดา Fix speed และ แอร์แบบ Inverter ซึ่งทั้งสองชนิดจะมีความแตกต่างกันดังนี้
- แอร์แบบธรรมดา Fix speed : คือแอร์ที่ทำงานด้วยระบบคอมเพรสเซอร์ในลักษณะที่จะตัดการทำงานของตัวเครื่องเมื่ออุณหภูมิในห้องลดลงไปต่ำกว่าตัวเลขที่ได้มีการตั้งไว้แล้วประมาณ 2-4 องศา จากนั้นเมื่อห้องมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นคอมเพรสเซอร์ก็จะเริ่มทำงานใหม่อีกครั้งวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ ทำให้ค่อนข้างกินไฟหากมีการเปิดแอร์เป็นเวลานาน
- แอร์แบบ Inverter : คือแอร์ที่การทำงานของคอมเพรสเซอร์จะมีการปรับการทำงานแบบแปรผันตามอุณหภูมิ เพราะฉะนั้นใครช่วงแรกที่มีการเปิดแอร์ในห้องซึ่งมีความร้อนคอมเพรสเซอร์จะเร่งการทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ห้องเย็นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่ออุณหภูมิเย็นอย่างคงที่ ตัวเครื่องก็จะค่อยรักษาอุณหภูมิเอาไว้ โดยไม่ได้มีการตัดเพื่อเร่งการทำงานของคอมเพรสเซอร์ เพราะฉะนั้นแอร์แบบ Inverter จึงเหมาะสำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดนั่นเอง
2.เลือก BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่
การเลือก BTU ของแอร์คือหนึ่งในวิธีการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มทำการติดตั้งแอร์เลยนั่นเอง เพราะถ้าเราเลือกซื้อแอร์ที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน แน่นอนว่าการใช้งานแอร์ของเราก็จะไม่จำเป็นจะต้องจ่ายค่าไฟที่สูงเกินกว่าพลังงานที่เราใช้ไปด้วยนั่นเอง โดยค่า BTU ของแอร์หรือ British Thermal Unit เป็นหน่วยวัดพลังงานความร้อนตามมาตรฐานสากล โดยตัวเลขที่ปรากฏอยู่จะหมายถึงความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากพื้นที่ซึ่งเรามีการใช้งานเครื่องปรับอากาศภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง ตัวอย่างเช่นหากแอร์มีการระบุเอาไว้ว่ามีค่า BTU = 20,000 นั่นหมายความว่าแอร์ตัวนี้มีความสามารถในการถ่ายเทความร้อนออกจากพื้นที่ใช้งาน 20,000 BTU ภายใน 1 ชั่วโมงนั่นเอง โดยการเลือกค่า British Thermal Unit ให้เหมาะกับพื้นที่ใช้งานจะมีสูตรคำนวนง่าย ๆ ดังนี้
สูตรการคำนวนค่า British Thermal Unit
พื้นที่ห้องกว้างxยาว(เมตร) x ค่า Cooling Load = BTU
เมื่ออ่านข้อมูลเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดด้วยวิธีการเลือก BTU ของแอร์ให้เหมาะสมกับพื้นที่มาถึงส่วนของการคำนวนหาค่า British Thermal Unit ที่เหมาะกับพื้นที่ใช้งานทุกคนก็อาจจะส่งสัยว่าแล้วค่า Cooling Loadคืออะไร ซึ่งจะสามารถหาได้จากไหน ซึ่งเราก็ต้องบอกว่าเจ้าค่าข้อมูลตัวนี้คือปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นในบริเวณปรับอากาศหรือทำความเย็น ที่ระบบทำความเย็นต้องกำจัดความร้อนนี้ออกไปจากพื้นที่ปรับอากาศ โดยมีการกำหนดตัวเลขคร่าว ๆ เอาไว้ดังนี้
- ห้องนอน : ค่า Cooling Load เท่ากับ 700-750 BTU/ตารางเมตร
- ห้องครัว : ค่า Cooling Load เท่ากับ 900-1000 BTU/ตารางเมตร
- ห้องทำงาน : ค่า Cooling Load เท่ากับ 800-900 BTU/ตารางเมตร
- ห้องนั่งเล่น : ค่า Cooling Load เท่ากับ 750-850 BTU/ตารางเมตร
- ห้องประชุม : ค่า Cooling Load เท่ากับ 850-1000 BTU/ตารางเมตร
3.พิจารณาตำแหน่งในการติดตั้ง
วิธีการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดในลำดับต่อมาก็คือการเลือกพื้นที่ในการติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งตัวแอร์หรือการติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ก็ตาม เนื่องจากทิศทางในการติดตั้งจะมีผลต่อความร้อนจากภายนอกที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบแอร์เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความร้อนที่อาจจะทำให้ตัวแอร์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น จึงจำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงการติดตั้งแอร์ในทิศตะวันตก เนื่องจากบริเวณดังกล่าวจะทำให้อุปกรณ์โดนแสงแดดในช่วงบ่ายส่องเข้ามาถึงทำให้เกิดความร้อนสูงกับตัวอุปกรณ์ บวกกับในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่คนเรามักจะเปิดแอร์กันมากที่สุด ยิ่งทำให้การทำงานของตัวแอร์มีภาระหนักมากขึ้นเป็นเท่าตัวนั่นเอง
4.ไม่เปิดแอร์ขณะที่เปิดหน้าต่างหรือมีลมผ่านเข้า-ออก
การเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดนอกจากจะต้องคำนึงถึงการเลือกแอร์ให้สมกับพื้นที่แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญซึ่งอาจจะเกิดขึ้นด้วยความประมาทหรือความไม่ตั้งใจ แต่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การเปิดแอร์ของทุกคนกินไฟไปได้แบบไม่น่าเชื่อ ซึ่งพฤติกรรมนั้นก็คือการเปิดแอร์ในขณะที่เปิดประตูหรือหน้าต่างไปด้วย เนื่องจากหลักการทำงานของแอร์จะต้องมีความเหมาะสมกับพื้นที่ เพราะฉะนั้นแอร์แต่ละรุ่นจึงมีค่า BTU เพื่อเป็นการง่ายต่อการเลือกซื้อแอร์นั่นเอง เพราะฉะนั้นการที่เราปล่อยให้แอร์ทำงาน ในขณะที่พื้นที่เปิดโล่งและมีอากาศถ่ายเทอยู่ตลอด จึงทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นไม่ถึงจุดที่แอร์จะหยุดการทำงาน จึงทพให้แอร์ยังคงต้องสร้างความเย็นอยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้ค่าไฟเพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่อาจจะจินตนาการได้เลยนั่นเอง
เปิดแอร์เท่าไหร่ประหยัดไฟ
สำหรับใครที่อาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนที่นอกจากคำว่าอากาศร้อน อากาศร้อนมาก และอากาศร้อนสุด ๆ แบบประเทศไทยเรานั้น การใช้ตัวช่วยเพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างเย็นสบายคลายความร้อนอย่างแอร์หรือเครื่องปรับอากาศนั้นกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาก็คือค่าไฟที่เราจะต้องแบกรับเอาไว้อย่างมากมายมหาศาล และคงเป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากจะประสบพบเจอกับตัวเองแน่นอน
ยิ่งในช่วงที่เรามีรายจ่ายในด้านอื่น ๆ ก็มีมากอยู่แล้ว แต่ยังต้องมารับผิดชอบกับค่าไฟที่เพิ่มมากขึ้นจากการเปิดแอร์ด้วยแล้วล่ะก็ คงเป็นอะไรที่กลายเป็นฝันร้ายสำหรับหลายคนไปเลยแน่นอน เพราะฉะนั้นในหัวข้อนี้เราจะมาแชร์ความรู้ดี ๆ ให้กับทุกคนกันว่าเปิดแอร์เท่าไหร่ประหยัดไฟ เพื่อที่นอกจากเราจะได้ช่วยแบ่งปันสาระความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนด้วยแล้ว ก็ยังเป็นการบอกวิธีเล็ก ๆ ที่จะสามารถช่วยในการประหยัดไฟลดการเกิดภาวะโลกร้อนได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเราเองด้วยนั่นเอง
โดยหากใครที่กำลังสงสัยว่าเปิดแอร์เท่าไหร่ประหยัดไฟ เราก็ขอแนะนำว่าการเปิดแอร์พร้อมพัดลมเป็นหนึ่งในเทคนิคง่าย ๆ ที่ทำให้ช่วยลดการทำงานของเครื่องปรับอากาศไปได้หลายเท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งในสถานการณ์ปกติคนเราหากต้องการความเย็นสบายอาจจะต้องเปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิ 23-24 องศาเซลเซียสอีกด้วย ส่งผลให้ตัวคอมเพรสเซอร์ของแอร์ต้องทำงานหนักมากขึ้น เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ค่าไฟบานขึ้นมหาศาล เพราะฉะนั้นการเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดด้วยการเปิดไปพร้อมกับพัดลมจะทำให้แอร์กินไฟน้อยลงด้วย ซึ่งทุกคนสามารถใช้แอร์ร่วมกับพัดลมได้โดยตั้งค่าอุณหภูมิอยู่ที่ 26- 28 องศา ในขณะที่จะได้รับความเย็นไม่ต่างกับการปรับตัวเลขอุณหภูมิต่ำ ๆ ได้เลยทีเดียว
เลือกแอร์ที่มีฉลากเบอร์ 5 ประหยัดไฟได้จริงไหม
นอกจากวิธีเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัดที่เราได้แนะนำให้ไปแล้ว เช่น การเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสมหรือระมัดระวังการเปิดแอร์ในพื้นที่โล่งมากเกินไป อีกหนึ่งวิธีซึ่งจะช่วยให้เราสามารถเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือการเลือกซื้อแอร์ที่มีเครื่องหมาย ‘ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5’ ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกถึงระดับการใช้ไฟฟ้าและข้อมูลเบื้องต้นทั่วไปของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น ๆ เช่น
-
ประสิทธิภาพพลังงาน EER
ประสิทธิภาพพลังงานหรือ Energy Efficiency Ratio : EER เป็นข้อมูลที่ทำการตรวจวัดค่าประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้ใช้งานในเบื้องต้นว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือแอร์ที่ซื้อมานั้นมีประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าเป็นเท่าไหร่ โดยข้อมูลที่ได้จะต้องเกิดมาจากการทดสอบการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งอาจจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงที่ทำการตรวจวัด
-
ประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน SEER
ใครที่กำลังศึกษาเรื่องของเปิดแอร์ยังไงให้ประหยัด จำเป็นจะต้องศึกษาเรื่องของข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้พลังงาน หรือ Seasonal Energy Efficiency Ratio : SEER ด้วย โดยค่า SEER หากจะให้อธิบายแบบง่าย ๆ มันก็คือข้อมูลค่าประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานจากการคำนวณของ กฟผ. (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย) ที่ใช้ในการวัดความประหยัดพลังงานของเครื่องปรับอากาศเอาไว้ เนื่องจากมันเป็นข้อมูลที่แสดงถึงอัตราการกินไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยใช้จำนวนดาวในการวัด โดยถ้าเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นไหนมีดาวมากมากก็ยิ่งแสดงให้เห็นในเบื้องต้นก่อนได้เลยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในรุ่นนั้น ๆ มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟ โดยค่าเฉลี่ยของดาวที่เพิ่มขึ้นจะสามารถประหยัดไฟได้มากขึ้นดวงละ 5-10% โดยประมาณ
และจะเริ่มต้นการใช้ดาวในการประเมินระดับการกินไฟที่ 1 ดาว, 2 ดาว, 3 ดาวตามลำดับ โดยเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ต้องมีค่า SEER ตามรายละเอียดด้านล่างที่จะเป็นตัวกำหนดว่าจะได้ดาวในการประหยัดพลังงานเท่าไหร่นั่นเอง เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าการเลือกแอร์ที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็สามารถสร้างความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งลแ้วว่าเราจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟจากการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบสูงเกินความจำเป็นนั่นเอง
1.ระบบธรรมดา ขนาดน้อยกว่า 27,000 BTU
ค่า SEER 12.85 – 13.84 = ไม่ได้ดาว
ค่า SEER 13.85 – 14.84 = หนึ่งดาว
ค่า SEER 14.85 – 15.84 = สองดาว
ค่า SEER เท่ากับหรือมากกว่า15.85 = สามดาว
2.ระบบธรรมดา ขนาด 27,000 – 41,000 BTU
ค่า SEER 12.40 – 13.39 = ไม่ได้ดาว
ค่า SEER 13.40 – 14.39 = หนึ่งดาว
ค่า SEER 14.40 – 15.39 = สองดาว
ค่า SEER เท่ากับหรือมากกว่า15.40 = สามดาว
3.ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ขนาดน้อยกว่า 27,000 BTU
ค่า SEER 15.00 – 17.49 = ไม่ได้ดาว
ค่า SEER 17.50 – 19.99 = หนึ่งดาว
ค่า SEER 20.00 – 22.49 = สองดาว
ค่า SEER เท่ากับหรือมากกว่า 22.50 = สามดาว
4.ระบบอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ขนาด 27,000 – 41,000 BTU
ค่า SEER 14.00 – 16.49 = ไม่ได้ดาว
ค่า SEER 16.50 – 18.99 = หนึ่งดาว
ค่า SEER 19.00 – 21.49 = สองดาว
ค่า SEER เท่ากับหรือมากกว่า 21.50 = สามดาว
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📘 อ้างอิงเนื้อหา (External links)
📕 อ้างอิงรูปภาพ
- https://labelno5.egat.co.th/home/author/592187/page/2/
- https://pixabay.com/th/photos/search/เครื่องปรับอากาศ/