ถ้าจะพูดถึงสิ่งสยองขวัญที่ถูกหยิบนำมาใช้ในวงการสื่อ หลายๆคนอาจจะนึกถึง แวมไพร์, มนุษย์หมาป่า ปลาฉลาม แต่ถ้าให้นึกเร็วๆ คงไม่มีใครไม่นึกถึง “ซอมบี้” อย่างแน่นอน และถ้าพูดถึงซอมบี้ ใครหลายคนก็อดที่จะนึกถึงแฟรนไชส์เกม Resident Evil ไม่ได้ เพราะความฮิต เพราะความที่เป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะคนเพศไหนวัยไหน โดยเฉพาะคนวัยช่วง 90 น่าจะต้องมีประสบการณ์ต่อเกมนี้มาบ้างไม่มากก็น้อย ทั้งอาจจะเป็นการที่เล่นเกมเหล่านี้ด้วยตัวเอง หรือว่าดูคนอื่นเล่น แต่ทว่าเมื่อกระแสมันโด่งดังขนาดนี้ สิ่งที่ต้องตามมาก็คือเหล่าบรรดาผู้ผลิตต่างก็อยากที่จะหยิบจับ มาทำเป็นซีรีส์หรือก็ภาพยนตร์ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเชื้อไวรัสต้องสาปหรือเปล่า เพราะสร้างทีไร ก็มีเหตุให้โดนด่าทั้งฝั่งคนดูและฝั่งนักวิจารณ์ทุกครั้งไป เรียกได้ว่าบางโปรเจกต์คือตามสาปส่งกันไม่หยุดหย่อนกันเลยทีเดียว ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงกันว่าทำไมกันถึงเกิดผลลัพธ์ออกมาแบบนี้

เกริ่นนำถึงเวอร์ชั่นของ Resident Evil ที่ถูกนำมาทำเป็นซีรีส์

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีภาพยนตร์และซีรีส์ที่ถูกสร้างจากเกมอมตะนิรันดร์กาลเกมนี้ถึง 3 ภาคใหญ่ๆด้วยกัน นั่นคือ “Resident Evil” ที่กำกับโดย “Paul W.S. Anderson”, “Resident Evil: Welcome to Raccoon City” ที่กำกับโดย “Johannes Roberts” ซึ่งสองเวอร์ชั่นแรกนั้นเป็นเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ส่วน Resident Evil: Netflix จะเป็นเวอร์ชั่นซีรีส์นั่นเอง

จุดเด่นของ Resident Evil ที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์แต่ละภาค

ความจริงแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียทั้งหมด ในสายตาของคนดูและนักวิจารณ์ อย่าง Resident Evil ตามแบบฉบับของ Paul W.S. Anderson ทั้ง 6 ภาค ทั้ง “Resident Evil”, “Resident Evil: Apocalypse”, “Resident Evil: Extinction”, “Resident Evil: Afterlife”, “Resident Evil: Retribution” และ “Resident Evil: The Final Chapter” ที่ขายความแอ็คชั่น บู๊แหลกแจกกระสุน ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ความแอ็กชั่นมักจะขายดีเสมอ เพราะด้วยแก่นของมันที่เล่าง่าย ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกอกถูกใจคนดูอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไปไกลมาก ไม่ต่างอะไรไปจากภาพยนตร์แฟรนไชส์อย่าง “Fast and Furious” และเนื้อเรื่องจะไม่เหมือนกับเวอร์ชั่นต้นฉบับมากแค่ไหนก็ตาม ส่วนภาคต่อมาอย่าง Resident Evil: Welcome to Raccoon City ก็ถือว่าเป็นภาคที่เรียกว่ามีความเคารพต่อต้นฉบับมากที่สุด โดยที่ผู้สร้างมีเจตจำนงที่จะนำ Resident Evil ภาค 1 และ 2 มารวมกันส่วน Resident Evil: Netflix ก็เล่นกับบรรยากาศได้ดี ด้วยองค์ประกอบศิลป์ที่ดี ซอมบี้ที่น่ากลัวสาแก่ใจ กับอารมณ์ของภาพที่ค่อนข้างจริง

สาเหตุที่ว่า Resident Evil เวลาที่สร้างเป็นภาพยนตร์หรือซีรีส์ทำไมถึงมีแต่คนสาปส่ง

องค์ประกอบแรกที่ทำเอาใครหลายคนด่าเช็ดแบบสาดสีเทเสียเลยก็คือ ตัวละครไม่มีความสมเหตุสมผล และภาคที่คิดว่าแฟนๆผิดหวังที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น Resident Evil: Welcome to Raccoon City ที่ทำตัวละครออกมาได้ไม่มีเหตุผลและทำลายความขลังของต้นฉบับไปจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นตัวละครอย่าง “Leon Kennedy”, “Ada Wong”, “Jill Valentine” รวมถึงการนำตัวละครออกมารวมตัวกัน เป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเยอะเกินกว่าความยาวของภาพยนตร์จะเล่าได้หมด ซึ่งในส่วนตรงนี้นั้นก็ถือว่าทำลายบรรยากาศของความเป็นภาพยนตร์เสียจนหมดสิ้น ถึงแม้ว่าบรรยากาศและ Easter Egg ต่างๆ จะมีความใกล้เคียงกับต้นฉบับมากขนาดไหนก็ตาม และการหาอะไรออกมายัดเยียดมากจนเกินไป ส่วนที่หนักที่สุดคงจะเป็น Resident Evil: Netflix ที่หลายเสียงยืนยันออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่าตัวละครในเรื่องน่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกๆของตัวละครหลักนั่นเอง ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่พอตัวเลย

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับกระทู้บทความนี้ บทความสั้นๆ นี้ที่อาจจะแปลกไปสักหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นกระแสและคำวิจารณ์ของผู้คนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หาใช่ความคิดเห็นของผู้คนทั้งหมดไม่ นั่นหมายความว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น บางครั้งการฟังหรืออ่านรีวิวของคนอื่น ก็ไม่เท่ากับการไปดูไปชมภาพยนตร์หรือซีรีส์เหล่านี้ด้วยตัวเอง ถึงจะตัดสินได้ว่าภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องนั้นๆดีหรือว่าไม่ดีอย่างไร ไม่แน่ว่าภาพยนตร์หรือซีรีส์เหล่านี้อาจจะถูกอกถูกใจผู้อ่านก็เป็นได้ บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพียงเพื่อให้ข้อมูลและเล่าไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามคำว่า Resident Evil ก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเกมสยองขวัญอยู่ดี ซึ่งบางคนรวมถึงตัวคุณอาจจะมีความชอบในภาพยนตร์หรือซีรีส์ก็เป็นได้ใครจะไปรู้ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปัจเจกบุคคลอยู่แล้ว