นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่ประเทศไทยมีซีรีส์ดีๆมากมายหลายต่อหลายเรื่อง สร้างกระแสที่ดีและทำให้คนกลับมาติดตามซีรีส์ไทยกันมากขึ้น มีหลายเรื่องที่เนื้อหากินใจ หลายเรื่องควรค่าแก่การหากลับมาดูอีก หลายเรื่องควรค่าแก่การแนะนำเพื่อน พี่ น้อง พ่อแม่ และเรื่องที่ผู้เขียนภาคภูมิใจในการหยิบมาเล่าสู่กันฟังนั้น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ควรค่าแก่การหามาดูนั่นคือเรื่อง “One Year” หรือ “365 วันบ้านฉันบ้านเธอ” นั่นเอง ดั่งที่เคยรีวิวไว้ในลิสต์ซีรีส์ไทย แต่ทว่าเรื่องนี้กลับมีจุดที่แตกต่าง ที่ไม่ว่าจะดูซ้ำสักกี่รอบก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับคนดูอยู่เสมอ ส่วนเหตุผลจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามกันได้เลย
คำเตือน! บทความนี้มีการสปอยล์เนื้อหาของเรื่อง ดังนั้นหากต้องการอ่านแบบไม่เสียอรรถรสกรุณาไปรับชมมาก่อน
ก่อนอื่นเลย เราจะมาพูดถึงเรื่องของเรื่องย่อกันก่อน 365 วันบ้านฉันบ้านเธอที่เรื่องที่ว่าด้วย “มุก” หญิงสาววัยแม่คน ดันไปตกหลุมรักกับ “ตั้ม” คุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว รักกันไปรักกันมา สุดท้ายก็ตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน ทั้งหมดดูจะไม่มีปัญหา แต่ว่ามุกดันไม่ไปบอก เด็กๆ 5 คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันอย่าง “เพชร”, “พลอย”, “ตะวัน”, “แพรวพราว” และ “ไพลิน” ให้รู้ล่วงหน้าก่อน เด็กสาวทั้ง 5 คนต่างไม่มีใครเห็นด้วยเลย หนำซ้ำมีความพีคเข้ามาอีกตรงที่ว่า ตั้มพา “บูม” และ “เบบี้” มาหาที่บ้านด้วย ซึ่งหลังจากที่บ้านรู้ถึงความจริง ก็ไม่มีเด็กคนไหนต้อนรับขับสู้ แต่ทว่าฝั่งแม่มุกเองก็ทุกข์เช่นกัน เดือดร้อนถึงเพชร ลูกสาวคนโตให้ออกมาหาทางออก แบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ด้วยการให้ทั้ง 2 บ้านลองมาอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นเวลา 1 ปี ถ้ามีคนใดคนหนึ่งที่ไม่มีความสุข การแต่งงานจะต้องถูกยกเลิกไป นอกจากนี้ยังมี “ทราย”, “จิ๊บบี้”, “มาร์ค” “มิ้ม” “เอย” “กอหญ้า” และคนอื่นๆมาร่วมทำให้เรื่องราวดูชุลมุนวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
1. เป็นเรื่องที่ตัวละครเยอะ แต่ไม่ยัดเยียดและมีเวลาในการเล่าภูมิหลัง
ในเรื่องนี้นั้นแค่ตัวละครหลักก็ไปกว่า 10 ตัวละครแล้ว การที่ตัวละครเยอะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับทีมผู้สร้างที่ต้องปั่นกันหัวหมุนเพื่อให้ได้ตัวบทที่ออกมาสมบูรณ์แบบ ไม่ยัดเยียด ไม่จมหาย และไม่เด่นจนเกินไป แต่ละตัวละครมีโอกาสให้ได้ฉายแสงของตัวเอง
2. แต่ละตัวละครจะมีปัญหาเป็นของตัวเอง ไม่มีขาวไม่มีดำ ไม่มีใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้าย
ในเรื่อง One Year จะเต็มไปด้วยตัวละครทั้งวัยรุ่นวัยเรียน ตั้งแต่มัธยมจนมหาวิทยาลัย ไปจนถึงวัยทำงาน ทุกคนต่างมีปมปัญหาต่างๆ เป็นของตัวเองทั้งสถานะการเงิน ความสัมพันธ์ในครอบครัว มิตรภาพในหมู่เพื่อน ความฝันของวัยรุ่น ปณิธานของวัยผู้ใหญ่ ผ่านการตัดสินใจที่ทั้งถูกต้องและผิดพลาดที่เข้าใจได้ ตามวิถีมนุษย์ปุถุชน ที่ผ่านความรัก โลภ โกรธ หลง ผ่านปมปัญหาที่จะนำเรื่องราวให้วุ่นวาย ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่กันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าแค่ลำพังปัญหาของตัวละครหลักก็ทำให้คนดูอย่างเราๆ ปวดหัวกันไปไม่มากก็น้อย และเนื่องจากการที่ตัวละครไม่มีขาว ไม่มีดำ นำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่สมจริงจนคนดูอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มฟินจนจิกหมอน และร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลยก็ว่าได้
3. เรื่องนี้มีการชูประเด็นของสังคมมากมาย เช่น ครอบครัว, ความหลากหลายทางเพศ, ความรักต่างชนชั้น
ในเรื่อง 365 วันบ้านฉันบ้านเธอ มีเรื่องการชูประเด็นสังคมมากมายที่น่าสนใจและควรค่าแก่การเก็บไปคิดต่อในหลายประเด็นเช่น
ความสัมพันธ์ของมาร์คและพลอย
พลอยที่เป็นหนึ่งในลูกสาวบ้านแม่มุก เป็นนักศึกษาสาวที่เรียนเกี่ยวกับภาพยนตร์ จนกระทั่งมีมาร์คดาราดังมาเรียนคลาสเดียวกันด้วย ด้วยความที่สมาชิกในบ้านหลายคนเป็นแฟนคลับดาราท่านนี้ พลอยจึงถ่ายรูปมาร์คส่งในกลุ่มไลน์ โดยหารู้ไม่ว่าลืมปิดแฟลชมือถือ จนมาร์คหันมาเอามือถือไปลบรูป สร้างความสัมพันธ์ที่แย่ให้กับฝ่ายหญิง แต่ทว่ามันก็มีเหตุจับพลัดจับผลูจนได้ เมื่อทั้งสองต้องทำงานด้วยกัน ทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์กันในที่สุด จากเพื่อนร่วมงาน แปรเปลี่ยนเป็นความรัก แต่ทว่าด้วยความรักต่างระดับชั้นที่คนหนึ่งเป็นดาราที่มีคู่จิ้น แต่อีกคนหนึ่งเป็นเพียงแค่คนเดินดินธรรมดา เรื่องความรู้สึก และความสัมพันธ์จึงห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ประเด็นสะท้อนสังคมนี้ถูกเล่าได้อย่างเฉียบขาด เรียกได้ว่าไม่ค่อยมีซีรีส์เรื่องไหนเล่าได้แบบนี้มาก่อน
ความสัมพันธ์ของลุงตั้มและแม่มุก ที่ส่งผลถึงความสัมพันธ์ของ เพชร ตะวัน และ บูม
เมื่อลุงตั้มกับแม่มุกตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน การแบ่งเบาภาระ และการทำตัวให้เป็นประโยชน์ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ลุงตั้มก็ต้องมาช่วยทำอาหารเลี้ยงที่บ้าน บูมก็ต้องทำหน้าที่ผู้ชายที่ดีให้กับครอบครัวที่มีแต่ผู้หญิงทั้งบ้าน แต่ทว่า บูมจากบ้านลุงตั้มและเพชรจากบ้านแม่มุกก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จนเกิดเป็นความรักขึ้นในที่สุด จากการเสียสละของบูมที่ยอมไปเป็นเคสทำฟันให้เพชรที่เป็นนักศึกษาทันตแพทย์ แต่ทว่าตะวัน นักศึกษาที่เรียนครูที่ต้องไปฝึกงานที่โรงเรียนที่เบบี้ แพรวพราว และจิ๊บบี้เรียนอยู่ ซึ่งบูมเองก็เป็นพี่ชายของเบบี้ ภายหลังที่ตะวันไม่สามารถทำให้เบบี้สอบผ่านได้ แต่ทว่าบูมก็ยังคงให้กำลังใจจนเกิดความประทับใจในตัวตะวัน แต่เพชรก็เลือกที่จะไม่บอกถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงให้ตะวันรับรู้ ไหนจะต้องปกปิดความสัมพันธ์กับลุงตั้มไปอีก ความอึดอัดนี้ส่งผลสะเทือนไปถึงทุกคนในบ้านกันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการสื่อสารกันในบ้าน
ความสัมพันธ์ของไพลินกับทรายและลุงตั้ม
ไพลินเป็นหนึ่งในลูกสาวของบ้านแม่มุก ที่ดูจะเหมือนเป็นคนเข้ากับคนยาก แต่ทว่าก็กลับเป็นคนที่ต้องการความรักเช่นเดียวกัน การมาของลุงตั้มยิ่งทำให้ไพลินปฏิเสธลุงตั้มมากไปอีก เพราะแม่มุกได้ยุติความสัมพันธ์กับแฟนเก่าเพราะเป็นคนเจ้าชู้ แต่เธอก็ยังคงหวังลึกๆว่าทั้งสองจะได้กลับมาคืนดีกัน แต่เธอก็ได้เห็นภาพบาดตาบาดใจเพราะอดีตแฟนแม่มุกได้มีครอบครัวทั้งลูกภรรยาอีกด้วย เรื่องเดือดร้อนจนแม่มุกต้องมาหา และไม่ว่าไพลินจะมองลุงตั้มลบอย่างไร ลุงตั้มก็ยังคงดูแลเอาใจใส่เหมือนลูกคนหนึ่ง และในเมื่อวันที่เธอต้องการมันมากที่สุด ลุงตั้มก็เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี เราถึงเข้าอกเข้าใจในรสนิยมรักเพศเดียวกันของเธอกับทรายอีกด้วย ซึ่งในความสัมพันธ์ของเธอทั้งสองก็ไม่ได้ยัดเยียดจนกลืนไม่ลง เคี้ยวไม่ถูก แต่กลับแสดงได้ออกมาอย่างธรรมชาติ ราวกับว่าการที่คนสองคนรักกันนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งในส่วนตรงนี้ซีรีส์ทำออกมาได้ดีมากๆ
ความสัมพันธ์ของแพรวพราว จิ๊บบี้ และ เบบี้
แพรวพราวเป็นลูกคนสุดท้องของบ้านแม่มุก และเบบี้ก็เป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านลุงตั้ม เธอทั้งสองเริ่มเหม็นขี้หน้ากัน ทั้งๆที่เป็นลูกคนสุดท้องทั้งคู่ และทั้งสองต้องมาอยู่บ้านหลังเดียวกัน หนำซ้ำทั้งสองยังต้องมาเรียนโรงเรียนเดียวกันอีกด้วย แพรวพราวมีเพื่อนชื่อจิ๊บบี้ ทั้งสองสนิทกันมาก แต่ทว่าจิ๊บบี้เหมือนจะสนิทกับเบบี้ได้ดีกว่า เพราะว่าชอบเต้นเหมือนกันทั้งคู่ สุดท้ายเบบี้ก็เข้ากับจิ๊บบี้ได้ในที่สุด ด้วยความที่ไม่อยากเสียเพื่อน แพรวพราวจึงมุ่งมั่นตั้งใจซ้อมเต้น แต่ทว่าทุกอย่างก็สายไป เธอจึงเกลียดเบบี้มากกว่าเดิมเสียอีก จนกระทั่งทั้งสองมีเหตุให้ต้องเคลียร์กันในงานแต่งงานเพื่อนแม่มุก เพราะชุดของแพรวพราวมีคราบเลือดประจำเดือน และเบบี้ก็ได้หาทางช่วยเหลือ ทั้งสองจึงได้สนิทกันในที่สุด
จะเห็นได้ว่านอกจากจะเป็นซีรีส์ที่สะท้อนสังคมและยังเป็นซีรีส์ที่ชี้นำสังคมได้ดีอีกเรื่องหนึ่งเลยด้วย
แต่ทว่าความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งหมดก็ต้องขาดสะบั้นลงด้วยสาเหตุที่ใหญ่มาก และนอกจากนี้ยังมีประเด็นอื่นสอดแทรกมากขึ้นไปอีก เช่นปัญหาการเงินของครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างลุงตั้มและแม่มุก ถ้าอยากรู้ว่าจะลงเอยอย่างไร อยากให้ทุกคนไปรับชมกัน
4. ซีรีส์ไทยเรื่องนี้มีประเด็นเยอะภายใต้ตอนที่น้อย
ถึงแม้ว่า One Year จะมีประเด็นต่างๆ ใส่เข้ามาเยอะมาก แต่ทว่าไม่ได้มีจำนวนตอนที่เยอะเลย ทุกอย่างดูเล่าผ่านตอนแค่ 10 ตอนเท่านั้น เรียกได้ว่าขนกันมาเอาแต่ประเด็นสำคัญเลยก็ว่าได้
5. ซีรีส์ไทยเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่รวมนักแสดง BNK48 เอาไว้มากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
หนึ่งในนักแสดงหลักที่เล่นเรื่องนี้ เป็นนักแสดงจาก BNK48 ที่ทั้งยังอยู่ในวงและออกจากวงไปแล้ว มาเล่นเยอะอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ ได้แก่
“เฌอปราง อารีย์กุล”, “ปัญสิกรณ์ ติยะกร”, “เพลินพิชญา โกมลารชุน”, “วีรยา จาง”, “นันท์นภัส เลิศนามเชิดสกุล”, “ณัฐทิชา จันทรวารีเลขา”, “พิชญาภา นาถา”, “กุลจิราณัฐ อินทรศิลป์” “สิริการย์ ชินวัชร์สุวรรณ” และ “รชยา ทัพพ์คุณานนต์” นั่นเอง แต่ไม่ได้มีดีแค่นั้น ซีรีส์เรื่องนี้ยังเอานักแสดงคุณภาพหลายคนมาร่วมเล่นด้วยอีกคับคั่ง “ชญานิษฐ์ ชาญสง่าเวช”, “ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์” “สัญญา คุณากร” หรือ “คัทลียา แมคอินทอช”
6. เป็นซีรีส์ไทยที่มีหลายรสชาติ
ในซีรีส์เรื่อง 365 วันบ้านฉันบ้านเธอ เป็นเรื่องที่หลายรสชาติทางความรู้สึกมากๆ ด้วยพฤติกรรมของตัวละครและการแสดงที่สมจริง เรียกได้ว่ามีทั้งหัวเราะ ร้องไห้ และขวยเขิน เหมาะแก่การดูกับคนในครอบครัว เพื่อน หรือแฟนมากๆ เลยทีเดียว
7. เป็นซีรีส์ไทยจากค่าย GDH
นับตั้งแต่ค่ายเก่าอย่าง GTH ปิดตัวลงไป แต่ทว่าก็บังเกิดค่ายใหม่อย่าง GDH ก่อตั้งขึ้นมา ก็ไม่เคยหยุดพัฒนาที่จะสร้างซีรีส์คุณภาพเลย แม้แต่เรื่องนี้ก็ตาม แถมยังได้คะแนนที่ชื่นชมจากคนดูทั่วไป รวมถึงนักวิจารณ์อีกด้วย นับว่าเป็นแต้มต่อที่ดี
สุดท้ายนี้ ขอขยายเพิ่มเติมถึงเรื่องสะท้อนสังคมสักหน่อย ตรงที่ว่าครอบครัวคือสถาบันที่ควรจะสำคัญและแข็งแรงที่สุด มันแทบจะเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสิ่งเลยก็ได้ในชีวิตจริง รวมถึงเพื่อน และแฟนก็เช่นเดียวกัน แต่ทว่าสิ่งที่ชี้นำสังคมได้ดีก็คือ เมื่อเกิดเหตุอะไรขึ้นควรหันหน้ามาคุยกัน ปรึกษากัน อย่าเก็บงำไว้จนทุกอย่างมันเลยเถิดขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะพังลงไป ผลเสียที่ตามมาอาจจะร้ายแรงกว่าที่คิดก็เป็นได้ อย่างที่เล่าไปว่า “One Year” หรือ “365 วันบ้านฉันบ้านเธอ” ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายอะไรให้มากความอีกต่อไปแล้ว สำหรับคนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจดูหรือยังไม่กล้า ก็ไม่ควรจะลังเลเลย ซึ่งตอนนี้สามารถดูแบบถูกลิขสิทธิ์ได้แล้วที่ Line Today
📚 อ้างอิง (Reference Sites)
📙 บทความที่เกี่ยวข้อง (Internal Resources)
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎