ต้มโคล้งปลากรอบ 1 ถ้วย = กี่แคล มีคำตอบ!
ต้มโคล้งปลากรอบ 1 ถ้วย ให้แคลอรี่ = 60 กิโลแคลอรี่
ใครที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร โดยตัวอย่างที่เรายกมาในวันนี้คืออาหารยอดนิยมอย่าง “ต้มโคล้งปลากรอบ” และเป็นคนที่กำลังนับแคลอรี่ หรือควบคุมน้ำหนัก รักษาหุ่น หรือกำลังเริ่มออกกำลังกาย คงจะอยากรู้กันว่า อาหารอย่างเช่น “ต้มโคล้งปลากรอบ” เป็นอาหารที่ให้พลังงานเท่าใหร่ และต้องกินจำนวนกี่ถ้วยจะพอดี หรือกี่ถ้วยจึงจะนับว่ามากเกินไป วันนี้ข้าวตังได้หาข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานของ “ต้มโคล้งปลากรอบ 1 ถ้วย” มาให้เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ว่า เมื่อเรากินไป 1 ถ้วย จะได้ปริมาณพลังงานเท่าใหร่ คำตอบคือ “60 กิโลแคลอรี่” หรือ 60 Kcal หากเพื่อนๆยังไม่มั่นใจว่าที่เรากินเข้าไป พลังงานนับเป็นกี่แคลแล้ว ให้ลองดูจากตารางด้านล่างได้เลย
ตารางแสดงจำนวนถ้วยของ ต้มโคล้งปลากรอบ ต่อพลังงาน กิโลแคลอรี่
จำนวนถ้วย |
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) ที่ได้รับ |
½ (ครึ่งถ้วย) |
30 กิโลแคลอรี่ (30 Kcal) |
1 ถ้วย |
60 กิโลแคลอรี่ (60 Kcal) |
2 ถ้วย |
120 กิโลแคลอรี่ (120 Kcal) |
3 ถ้วย |
180 กิโลแคลอรี่ (180 Kcal) |
4 ถ้วย |
240 กิโลแคลอรี่ (240 Kcal) |
5 ถ้วย |
300 กิโลแคลอรี่ (300 Kcal) |
6 ถ้วย |
360 กิโลแคลอรี่ (360 Kcal) |
7 ถ้วย |
420 กิโลแคลอรี่ (420 Kcal) |
8 ถ้วย |
480 กิโลแคลอรี่ (480 Kcal) |
9 ถ้วย |
540 กิโลแคลอรี่ (540 Kcal) |
10 ถ้วย |
600 กิโลแคลอรี่ (600 Kcal) |
ควรรับประทานต้มโคล้งปลากรอบเท่าใหร่ ใน 1 วัน
ผู้ชาย
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “ต้มโคล้งปลากรอบ” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 33 ถ้วย โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,980 กิโลแคลอรี่ (1,980 Kcal)
ผู้หญิง
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,500 – 1,800 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “ต้มโคล้งปลากรอบ” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 30 ถ้วย โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,800 กิโลแคลอรี่ (1,800 Kcal)
กินต้มโคล้งปลากรอบ 1 ถ้วย ต้องออกกำลังกายเท่าใหร่
กิจกรรม 1 ชั่วโมง | ระยะเวลา | เผาผลาญ (กิโลแคลอรี่) / 1 ชั่วโมง |
กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 17.6กม./ชม. | 4 นาที | 970 กิโลแคลอรี่ |
กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 5.6กม./ชม. | 5 นาที | 660 กิโลแคลอรี่ |
กระโดดเชือก | 5 นาที | 780 กิโลแคลอรี่ |
กวาดพื้น | 16 นาที | 225 กิโลแคลอรี่ |
การเต้น Zumba | 7 นาที | 500 กิโลแคลอรี่ |
ขี่จักรยาน | 14 นาที | 250-600 กิโลแคลอรี่ |
ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 14.4กม./ชม. | 9 นาที | 415 กิโลแคลอรี่ |
ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 20.0กม./ชม. | 5 นาที | 660 กิโลแคลอรี่ |
ซักผ้าด้วยมือ | 15 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
ตัดหญ้า | 14 นาที | 250-300 กิโลแคลอรี่ |
ตีกอล์ฟ ลากถุงกอล์ฟ | 12 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
ตีกอล์ฟ แบกถุงกอล์ฟเอง | 10 นาที | 360 กิโลแคลอรี่ |
ตีกอล์ฟ, นั่งรถ | 15 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
ทำงานบ้าน | 24 นาที | 150-250 กิโลแคลอรี่ |
ทำสวน | 12 นาที | 300-450 กิโลแคลอรี่ |
นอนหลับ | 48 นาที | 75 กิโลแคลอรี่ |
นั่งดูทีวี | 36 นาที | 100 กิโลแคลอรี่ |
นั่งทำงานใช้สมอง | 33 นาที | 110 กิโลแคลอรี่ |
บาสเก็ตบอล | 10 นาที | 360-660 กิโลแคลอรี่ |
ปูที่นอน | 27 นาที | 135 กิโลแคลอรี่ |
มวยไทย | 5 นาที | 800 กิโลแคลอรี่ |
ยืน | 26 นาที | 140 กิโลแคลอรี่ |
รีดผ้า | 24 นาที | 150 กิโลแคลอรี่ |
ลงนอน (ไม่หลับ) | 42 นาที | 85 กิโลแคลอรี่ |
วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 12.8กม./ชม. | 4 นาที | 825 กิโลแคลอรี่ |
วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 18.2กม./ชม. | 3 นาที | 1,390 กิโลแคลอรี่ |
วิ่งเร็ว | 4 นาที | 900-1,200 กิโลแคลอรี่ |
วิ่งเหยาะๆ | 6 นาที | 600-750 กิโลแคลอรี่ |
ว่ายน้ำ | 14 นาที | 260-750 กิโลแคลอรี่ |
ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 2.56กม./ชม. | 5 นาที | 700 กิโลแคลอรี่ |
ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 3.00กม./ชม. | 4 นาที | 850 กิโลแคลอรี่ |
เดินขึ้นบันได | 6 นาที | 600-1080 กิโลแคลอรี่ |
เดินขึ้นเนิน | 8 นาที | 480-900 กิโลแคลอรี่ |
เดินช้า | 24 นาที | 150 กิโลแคลอรี่ |
เดินธรรมดา | 12 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
เดินลงบันได | 8 นาที | 425 กิโลแคลอรี่ |
เดินลงเนิน | 15 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
เดินเร็ว | 9 นาที | 420-480 กิโลแคลอรี่ |
เดินเล่น | 17 นาที | 210 กิโลแคลอรี่ |
เต้นรำ | 10 นาที | 350 กิโลแคลอรี่ |
เย็บผ้า | 31 นาที | 115 กิโลแคลอรี่ |
เลื่อยไม้ | 7 นาที | 515 กิโลแคลอรี่ |
เล่นวอลเล่ย์บอล | 12 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
เล่นสเก็ตปกติ | 9 นาที | 420 กิโลแคลอรี่ |
เล่นสเก็ตแข่งความเร็ว | 5 นาที | 700 กิโลแคลอรี่ |
เล่นฮูล่าฮูป | 8 นาที | 430 กิโลแคลอรี่ |
เล่นเทนนิสคู่ | 10 นาที | 360 กิโลแคลอรี่ |
เล่นเทนนิสเดี่ยว | 8 นาที | 480 กิโลแคลอรี่ |
เล่นแบดมินตัน | 10 นาที | 350 กิโลแคลอรี่ |
เล่นโบว์ลิ่ง | 9 นาที | 400 กิโลแคลอรี่ |
แอโรบิค | 6 นาที | 600 กิโลแคลอรี่ |
เดินขึ้นเขาหรือปีนเขา | 7 นาที | 500-800 กิโลแคลอรี่ |
ออกกำลังกายแบบ HIT | 5 นาที | 700-800 กิโลแคลอรี่ |
บทสรุป
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการสมมติ และจำลองตัวเลขว่า หากคนเรารับประทาน “ต้มโคล้งปลากรอบ” อย่างเดียวใน 1 วัน จะต้องทานเท่าไรจึงจะได้รับพลังงานเพียงพอใน 1 วัน โดยสรุปคือ ผู้ชายต้องทาน “ต้มโคล้งปลากรอบ 33 ถ้วย” ส่วนผู้หญิงต้องทาน “ต้มโคล้งปลากรอบ 30 ถ้วย”
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
คลายข้อสงสัยให้กับทุกคน แคลอรี่มาจากไหน ทำไมคนอยากลดน้ำหนักต้องนับแคล
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่าการรับแคลคืออะไร ทำไมคนที่คุมน้ำหนักถึงต้องมีการควบคุมแคลอรี่ หรือการที่จะเลือกกินอาหารสามารถเลือกตามแคลน้อย ๆ ได้ยังไง วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ทุกคนอยากรู้กันค่ะ เริ่มจากมาทำความรู้จักแคลอรี่กันก่อนเลย แคลอรี่ (calorie) ก็คือหน่วยวัดพลังงานที่ใช้นับพลังงานจากสารอาหารต่างๆ ที่เราได้บริโภคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มก็มีพลังงานอยู่ด้วย ดังนั้นเราสามารถนำมาคิดคำนวณพลังงานให้ออกมาเป็นแคลอรี่ได้ทั้งนั้น ซึ่งในอาหารแต่ละอย่างก็จะมีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปตามสารอาหารและปริมาณ โดยปกติแล้วจะมีการนำมาคำนวนพลังงานต่อวันที่ควรจะได้รับตามสารอาหารแต่ละประเภท โดยสารอาหารที่ให้พลังงานจะเป็นอาหารจำพวกโปรตีน ที่จะเน้นเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะให้พลังงานอยู่ที่ 4 แคลอรี่ต่อกรัม, อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอย่างข้าวและแป้งต่างๆ จะให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัมเช่นเดียวกับโปรตีนและอาหารประเภทสุดท้ายคือไขมันจะให้พลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ต่อกรัม ซึ่งจะให้พลังมากกว่าอาการ 2 ประเภทแรกถึง 2 เท่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะกินอาหารได้แบบตามใจปาก เพราะในแต่ละวันร่างกายจะต้องการสารอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้นการคำนวนปริมาณแคลอรี่ของสารอาหารต่างๆจึงจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบที่ไม่อดอาหารและยังได้สารอาหารครบถ้วนนั่นเอง
ปริมาณแคลอรี่ต่อวันคำนวณยังไง มาดูวิธีง่ายๆในการนับแคลอรี่กัน
ตามหลักการปกติง่ายๆที่เราสามารถคิดตามได้ จะเริ่มจากการดูพลังงานในแต่ละวันที่ควรได้รับ โดยที่ผู้ชายควรได้รับพลังงานจากการบริโภคอาหารรวมถึงเครื่องดื่มอยู่ที่ 2500 กิโลแคลอรี่ ผู้หญิงควรได้รับพลังงานในแต่ละวันอยู่ที่ 2000 กิโลแคลอรี่ แต่ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมในแต่ละวัน อายุ น้ำหนักและระบบการเผาผลาญต่างๆในร่างกายที่จะมีผลต่อการคิดคำนวนปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว เด็กที่มีกิจกรรมต่างๆจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะมีพลังงานที่ควรได้รับมากกว่าผู้สูงอายุ ตามหลักการแล้วการที่จะได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่จะต้องมีสารอาหารต่างๆในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือ โปรตีน 50 กรัม (200แคลอรี่), คาร์โบไฮเดรต 260 กรัม (1040แคลอรี่), ไขมันทั้งหมด 90 กรัม(810แคลอรี่) ซึ่งควรจะเป็นไขมันดี 20กรัม(180แคลอรี่) ที่เหลืออีก 70กรัม(630แคลอรี่) เป็นไขมันอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเช่นน้ำตาลและเกลือรวมอยู่ด้วย
กินเยอะกินน้อยจะมีผลต่อการลดน้ำหนักจริงหรอ คำถามสุดฮิตของคนอยากผอม
การใช้วิธีการลดนับหนักแบบนับแคลเป็นหนึ่งในวิธีที่มักจะทำไปควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าหากออกกำลังกายแต่กินไม่ถูกวิธีก็จะทำให้การลดน้ำหนักนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าจะกินยังไงให้น้ำหนักของเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะทำการย่อยแล้วเปลี่ยนสารอาหารต่างให้อยู่ในรูปของพลังงาน ซึ่งร่างกายจะมีการนำพลังงานนั้นออกมาใช้โดยจะเรียกการนำพลังงานมาใช้ว่าการเผาผลาญพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นอน ทุกๆอิริยาบถของเราล้วนใช้พลังงานในเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากเราได้รับพลังงานในปริมาณที่มากกว่าการใช้พลังงานก็จะทำให้เกิดพลังงานสะสมนั่นหมายถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักโดยการนับแคลอรี่ จะต้องเริ่มจากการรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรี่ที่พอเหมาะกับร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวัน ไม่ควรบริโภคอาหารมากจนเกินไป ซึ่งถ้าหากอยากลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายมากถึง 7700 กิโลแคลอรี่ นั่นหมายถึงการบริโภคอาหารน้อยลง แต่จำเป็นต้องมีสาอาหารอย่างครบถ้วน ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎