ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 1 จาน = กี่แคล มีคำตอบ!
ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 1 จาน ให้แคลอรี่ = 650 กิโลแคลอรี่
ใครที่ชื่นชอบการรับประทานอาหาร โดยตัวอย่างที่เรายกมาในวันนี้คืออาหารยอดนิยมอย่าง “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ” และเป็นคนที่กำลังนับแคลอรี่ หรือควบคุมน้ำหนัก รักษาหุ่น หรือกำลังเริ่มออกกำลังกาย คงจะอยากรู้กันว่า อาหารอย่างเช่น “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ” เป็นอาหารที่ให้พลังงานเท่าใหร่ และต้องกินจำนวนกี่จานจะพอดี หรือกี่จานจึงจะนับว่ามากเกินไป วันนี้ข้าวตังได้หาข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานของ “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 1 จาน” มาให้เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ว่า เมื่อเรากินไป 1 จาน จะได้ปริมาณพลังงานเท่าใหร่ คำตอบคือ “650 กิโลแคลอรี่” หรือ 650 Kcal หากเพื่อนๆยังไม่มั่นใจว่าที่เรากินเข้าไป พลังงานนับเป็นกี่แคลแล้ว ให้ลองดูจากตารางด้านล่างได้เลย
ตารางแสดงจำนวนจานของ ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ ต่อพลังงาน กิโลแคลอรี่
|
จำนวนจาน |
พลังงาน (กิโลแคลอรี่) ที่ได้รับ |
|
½ (ครึ่งจาน) |
325 กิโลแคลอรี่ (325 Kcal) |
|
1 จาน |
650 กิโลแคลอรี่ (650 Kcal) |
|
2 จาน |
1,300 กิโลแคลอรี่ (1,300 Kcal) |
|
3 จาน |
1,950 กิโลแคลอรี่ (1,950 Kcal) |
|
4 จาน |
2,600 กิโลแคลอรี่ (2,600 Kcal) |
|
5 จาน |
3,250 กิโลแคลอรี่ (3,250 Kcal) |
|
6 จาน |
3,900 กิโลแคลอรี่ (3,900 Kcal) |
|
7 จาน |
4,550 กิโลแคลอรี่ (4,550 Kcal) |
|
8 จาน |
5,200 กิโลแคลอรี่ (5,200 Kcal) |
|
9 จาน |
5,850 กิโลแคลอรี่ (5,850 Kcal) |
|
10 จาน |
6,500 กิโลแคลอรี่ (6,500 Kcal) |
ควรรับประทานข้าวผัดกระเพราหมูกรอบเท่าใหร่ ใน 1 วัน
ผู้ชาย
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 3 จาน โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,950 กิโลแคลอรี่ (1,950 Kcal)
ผู้หญิง
ผู้ชายต้องการพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน คือ 1,500 – 1,800 กิโลแคลอรี่ หากรับประทาน “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ” โดยอ้างอิงจากตัวเลขข้างต้น ไม่ควรรับประทานเกิน 2 จาน โดยจะได้พลังงานเท่ากับ 1,300 กิโลแคลอรี่ (1,300 Kcal)
กินข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 1 จาน ต้องออกกำลังกายเท่าใหร่
| กิจกรรม 1 ชั่วโมง | ระยะเวลา | เผาผลาญ (กิโลแคลอรี่) / 1 ชั่วโมง |
| กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 17.6กม./ชม. | 40 นาที | 970 กิโลแคลอรี่ |
| กรรเชียงเรือด้วยความเร็ว 5.6กม./ชม. | 59 นาที | 660 กิโลแคลอรี่ |
| กระโดดเชือก | 50 นาที | 780 กิโลแคลอรี่ |
| กวาดพื้น | 2 ชั่วโมง 53 นาที | 225 กิโลแคลอรี่ |
| การเต้น Zumba | 1 ชั่วโมง 18 นาที | 500 กิโลแคลอรี่ |
| ขี่จักรยาน | 2 ชั่วโมง 36 นาที | 250-600 กิโลแคลอรี่ |
| ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 14.4กม./ชม. | 1 ชั่วโมง 34 นาที | 415 กิโลแคลอรี่ |
| ขี่จักรยานด้วยความเร็ว 20.0กม./ชม. | 59 นาที | 660 กิโลแคลอรี่ |
| ซักผ้าด้วยมือ | 2 ชั่วโมง 43 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
| ตัดหญ้า | 2 ชั่วโมง 36 นาที | 250-300 กิโลแคลอรี่ |
| ตีกอล์ฟ ลากถุงกอล์ฟ | 2 ชั่วโมง 10 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
| ตีกอล์ฟ แบกถุงกอล์ฟเอง | 1 ชั่วโมง 48 นาที | 360 กิโลแคลอรี่ |
| ตีกอล์ฟ, นั่งรถ | 2 ชั่วโมง 43 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
| ทำงานบ้าน | 4 ชั่วโมง 20 นาที | 150-250 กิโลแคลอรี่ |
| ทำสวน | 2 ชั่วโมง 10 นาที | 300-450 กิโลแคลอรี่ |
| นอนหลับ | 8 ชั่วโมง 40 นาที | 75 กิโลแคลอรี่ |
| นั่งดูทีวี | 6 ชั่วโมง 30 นาที | 100 กิโลแคลอรี่ |
| นั่งทำงานใช้สมอง | 5 ชั่วโมง 55 นาที | 110 กิโลแคลอรี่ |
| บาสเก็ตบอล | 1 ชั่วโมง 48 นาที | 360-660 กิโลแคลอรี่ |
| ปูที่นอน | 4 ชั่วโมง 49 นาที | 135 กิโลแคลอรี่ |
| มวยไทย | 49 นาที | 800 กิโลแคลอรี่ |
| ยืน | 4 ชั่วโมง 39 นาที | 140 กิโลแคลอรี่ |
| รีดผ้า | 4 ชั่วโมง 20 นาที | 150 กิโลแคลอรี่ |
| ลงนอน (ไม่หลับ) | 7 ชั่วโมง 39 นาที | 85 กิโลแคลอรี่ |
| วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 12.8กม./ชม. | 47 นาที | 825 กิโลแคลอรี่ |
| วิ่งบนทางราบด้วยความเร็ว 18.2กม./ชม. | 28 นาที | 1,390 กิโลแคลอรี่ |
| วิ่งเร็ว | 43 นาที | 900-1,200 กิโลแคลอรี่ |
| วิ่งเหยาะๆ | 1 ชั่วโมง 5 นาที | 600-750 กิโลแคลอรี่ |
| ว่ายน้ำ | 2 ชั่วโมง 30 นาที | 260-750 กิโลแคลอรี่ |
| ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 2.56กม./ชม. | 56 นาที | 700 กิโลแคลอรี่ |
| ว่ายน้ำด้วยความเร็ว 3.00กม./ชม. | 46 นาที | 850 กิโลแคลอรี่ |
| เดินขึ้นบันได | 1 ชั่วโมง 5 นาที | 600-1080 กิโลแคลอรี่ |
| เดินขึ้นเนิน | 1 ชั่วโมง 21 นาที | 480-900 กิโลแคลอรี่ |
| เดินช้า | 4 ชั่วโมง 20 นาที | 150 กิโลแคลอรี่ |
| เดินธรรมดา | 2 ชั่วโมง 10 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
| เดินลงบันได | 1 ชั่วโมง 32 นาที | 425 กิโลแคลอรี่ |
| เดินลงเนิน | 2 ชั่วโมง 43 นาที | 240 กิโลแคลอรี่ |
| เดินเร็ว | 1 ชั่วโมง 33 นาที | 420-480 กิโลแคลอรี่ |
| เดินเล่น | 3 ชั่วโมง 6 นาที | 210 กิโลแคลอรี่ |
| เต้นรำ | 1 ชั่วโมง 51 นาที | 350 กิโลแคลอรี่ |
| เย็บผ้า | 5 ชั่วโมง 39 นาที | 115 กิโลแคลอรี่ |
| เลื่อยไม้ | 1 ชั่วโมง 16 นาที | 515 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นวอลเล่ย์บอล | 2 ชั่วโมง 10 นาที | 300 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นสเก็ตปกติ | 1 ชั่วโมง 33 นาที | 420 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นสเก็ตแข่งความเร็ว | 56 นาที | 700 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นฮูล่าฮูป | 1 ชั่วโมง 31 นาที | 430 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นเทนนิสคู่ | 1 ชั่วโมง 48 นาที | 360 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นเทนนิสเดี่ยว | 1 ชั่วโมง 21 นาที | 480 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นแบดมินตัน | 1 ชั่วโมง 51 นาที | 350 กิโลแคลอรี่ |
| เล่นโบว์ลิ่ง | 1 ชั่วโมง 38 นาที | 400 กิโลแคลอรี่ |
| แอโรบิค | 1 ชั่วโมง 5 นาที | 600 กิโลแคลอรี่ |
| เดินขึ้นเขาหรือปีนเขา | 1 ชั่วโมง 18 นาที | 500-800 กิโลแคลอรี่ |
| ออกกำลังกายแบบ HIT | 56 นาที | 700-800 กิโลแคลอรี่ |
บทสรุป
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการสมมติ และจำลองตัวเลขว่า หากคนเรารับประทาน “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ” อย่างเดียวใน 1 วัน จะต้องทานเท่าไรจึงจะได้รับพลังงานเพียงพอใน 1 วัน โดยสรุปคือ ผู้ชายต้องทาน “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 3 จาน” ส่วนผู้หญิงต้องทาน “ข้าวผัดกระเพราหมูกรอบ 2 จาน”
เรียบเรียงและจัดทำโดย ข้าวตังดอทคอม
คลายข้อสงสัยให้กับทุกคน แคลอรี่มาจากไหน ทำไมคนอยากลดน้ำหนักต้องนับแคล
หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่าการรับแคลคืออะไร ทำไมคนที่คุมน้ำหนักถึงต้องมีการควบคุมแคลอรี่ หรือการที่จะเลือกกินอาหารสามารถเลือกตามแคลน้อย ๆ ได้ยังไง วันนี้เราจะมาคลายข้อสงสัยต่าง ๆ ที่ทุกคนอยากรู้กันค่ะ เริ่มจากมาทำความรู้จักแคลอรี่กันก่อนเลย แคลอรี่ (calorie) ก็คือหน่วยวัดพลังงานที่ใช้นับพลังงานจากสารอาหารต่างๆ ที่เราได้บริโภคเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มก็มีพลังงานอยู่ด้วย ดังนั้นเราสามารถนำมาคิดคำนวณพลังงานให้ออกมาเป็นแคลอรี่ได้ทั้งนั้น ซึ่งในอาหารแต่ละอย่างก็จะมีแคลอรี่ที่แตกต่างกันไปตามสารอาหารและปริมาณ โดยปกติแล้วจะมีการนำมาคำนวนพลังงานต่อวันที่ควรจะได้รับตามสารอาหารแต่ละประเภท โดยสารอาหารที่ให้พลังงานจะเป็นอาหารจำพวกโปรตีน ที่จะเน้นเนื้อสัตว์ นม ไข่ จะให้พลังงานอยู่ที่ 4 แคลอรี่ต่อกรัม, อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตอย่างข้าวและแป้งต่างๆ จะให้พลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัมเช่นเดียวกับโปรตีนและอาหารประเภทสุดท้ายคือไขมันจะให้พลังงานมากถึง 9 แคลอรี่ต่อกรัม ซึ่งจะให้พลังมากกว่าอาการ 2 ประเภทแรกถึง 2 เท่า แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะกินอาหารได้แบบตามใจปาก เพราะในแต่ละวันร่างกายจะต้องการสารอาหารแต่ละประเภทในปริมาณที่เหมาะสม ดังนั้นการคำนวนปริมาณแคลอรี่ของสารอาหารต่างๆจึงจำเป็นมากสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบที่ไม่อดอาหารและยังได้สารอาหารครบถ้วนนั่นเอง
ปริมาณแคลอรี่ต่อวันคำนวณยังไง มาดูวิธีง่ายๆในการนับแคลอรี่กัน
ตามหลักการปกติง่ายๆที่เราสามารถคิดตามได้ จะเริ่มจากการดูพลังงานในแต่ละวันที่ควรได้รับ โดยที่ผู้ชายควรได้รับพลังงานจากการบริโภคอาหารรวมถึงเครื่องดื่มอยู่ที่ 2500 กิโลแคลอรี่ ผู้หญิงควรได้รับพลังงานในแต่ละวันอยู่ที่ 2000 กิโลแคลอรี่ แต่ทั้งนี้ก็ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมในแต่ละวัน อายุ น้ำหนักและระบบการเผาผลาญต่างๆในร่างกายที่จะมีผลต่อการคิดคำนวนปริมาณพลังงานที่ร่างกายควรได้รับ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว เด็กที่มีกิจกรรมต่างๆจะต้องการพลังงานมากกว่าปกติ วัยรุ่นและผู้ใหญ่จะมีพลังงานที่ควรได้รับมากกว่าผู้สูงอายุ ตามหลักการแล้วการที่จะได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่จะต้องมีสารอาหารต่างๆในปริมาณที่เหมาะสม นั่นคือ โปรตีน 50 กรัม (200แคลอรี่), คาร์โบไฮเดรต 260 กรัม (1040แคลอรี่), ไขมันทั้งหมด 90 กรัม(810แคลอรี่) ซึ่งควรจะเป็นไขมันดี 20กรัม(180แคลอรี่) ที่เหลืออีก 70กรัม(630แคลอรี่) เป็นไขมันอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเช่นน้ำตาลและเกลือรวมอยู่ด้วย
กินเยอะกินน้อยจะมีผลต่อการลดน้ำหนักจริงหรอ คำถามสุดฮิตของคนอยากผอม
การใช้วิธีการลดนับหนักแบบนับแคลเป็นหนึ่งในวิธีที่มักจะทำไปควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าหากออกกำลังกายแต่กินไม่ถูกวิธีก็จะทำให้การลดน้ำหนักนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าจะกินยังไงให้น้ำหนักของเราไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ร่างกายจะทำการย่อยแล้วเปลี่ยนสารอาหารต่างให้อยู่ในรูปของพลังงาน ซึ่งร่างกายจะมีการนำพลังงานนั้นออกมาใช้โดยจะเรียกการนำพลังงานมาใช้ว่าการเผาผลาญพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ยืน นอน ทุกๆอิริยาบถของเราล้วนใช้พลังงานในเคลื่อนไหว แต่ถ้าหากเราได้รับพลังงานในปริมาณที่มากกว่าการใช้พลังงานก็จะทำให้เกิดพลังงานสะสมนั่นหมายถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักโดยการนับแคลอรี่ จะต้องเริ่มจากการรับประทานอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรี่ที่พอเหมาะกับร่างกายและกิจกรรมในแต่ละวัน ไม่ควรบริโภคอาหารมากจนเกินไป ซึ่งถ้าหากอยากลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายมากถึง 7700 กิโลแคลอรี่ นั่นหมายถึงการบริโภคอาหารน้อยลง แต่จำเป็นต้องมีสาอาหารอย่างครบถ้วน ควบคู่ไปกับการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกายที่จะทำให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
6 มกราคม 2023
367 
แสดงความคิดเห็นกันหน่อย 😎